The Happiness Manual พฤติกรรมความสุข

หนังสือ The Happiness Manual หรือ พฤติกรรมความสุขเล่มนี้บอกให้รู้ว่า แท้จริงแล้วความสุขของคนเรานั้นไม่ได้ยุ่งยาก ลำบาก หรือมีราคาแพงแต่อย่างไร และที่คุณณัฐวุฒิ เผ่าทวี พูดไปก็ไม่ได้คิดเองเออเองแบบโค้ชไลฟ์มากมาย แต่มีข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นการทดลองแบบวิทยาศาสตร์มายืนยันว่าความสุขแบบวิทยาศาสตร์นั้นเป็นอย่างไร แต่จะบอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ก็ไม่ถูกนัก เพราะหนังสือเล่มนี้ออกไปทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จิตวิทยา และการทดลองทางด้านสังคมวิทยาควบคู่กันไป เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากรู้จักความสุขในแบบวิทยาศาสตร์ ผมแนะนำหนังสือเล่มนี้เลยครับ เพราะคุณจะได้รู้ว่าความสุขหรือความทุกข์ของเรานั้นเกิดจากความคิดเปรียบเทียบของตัวเราเองเป็นหลัก เพราะมีการทดลองหนึ่งที่พบว่า คนยอมได้เงินเดือนที่มีตัวเลขน้อยลงแต่สูงกว่าคนรอบตัวทั้งหมด ดีกว่าได้เงินเดือนเยอะขึ้นแต่น้อยกว่าคนรอบตัวทั้งหมด ดังนั้น การที่บริษัทไม่ยอมบอกเงินเดือนของพนักงานแต่ละคนให้ทุกคนได้รู้ถ้วนหน้า ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีสำหรับเราทุกคนแล้ว หรือปัญหาบางอย่างถ้าใช้เหตุผลก็แก้ง่ายมาก แต่พอใช้อารมณ์เป็นตัวนำในการตัดสินใจก็ทำให้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างปัญหาที่มีชื่อว่า The…

ทุกพฤติกรรมมีความเสี่ยง โปรดอย่าลำเอียงก่อนตัดสินใจ

สรุปหนังสือ A Guide to Behaving Better หรือ ทุกพฤติกรรมมีความเสี่ยง โปรดอย่าลำเอียงก่อนตัดสินใจ เล่มนี้ เป็นหนังสือที่เล่าเรื่อง Behavioral Economics หรือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมได้เข้าใจง่าย ที่มีส่วนผสมของจิตวิทยา หรือ Psychology เข้ามาผสม ในรูปแบบทความสั้นๆไม่กี่หน้าก็อ่านจบ ดังนั้นถ้าใครกำลังมองหาซักเล่มเพื่อจะเริ่มเรียนรู้เรื่องนี้ หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งเล่มที่ผมกล้าแนะนำครับ และขนาดผมเองอ่านหนังสือแนวนี้มาไม่น้อย แต่ยังได้พบกับเนื้อหาใหม่ๆที่ยังไม่เคยอ่านเจอที่ไหนมาก่อนในเล่มนี้ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างเรื่อง ทำไมข่าวเทียมถึงฆ่าไม่ตาย ปัญหา Fake News ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนรุ่นใหม่ทั่วโลกให้ความสนใจ แต่ปัญหาเรื่อง…

ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง The Obstacle is the Way

สรุปหนังสือ ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง The Obstacle is the Way หนังสือเล่มนี้เตือนสติให้รู้ว่า “ปัญหา” ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ “ใหญ่” อย่างที่เรามักคิดไว้ เพราะคนเรานั้นมักเติมความคิดและอารมณ์เข้าไปในปัญหาส่วนใหญ่ให้ร้ายแรงเกินจริงกันทั้งนั้น เช่น เวลามีเพื่อนมาปรึกษาปัญหาอะไรก็ตามกับเรา เรามักจะมีคำแนะนำที่ดูเหมือนทำได้ง่าย ใช้ได้จริง และไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะก็หาคำตอบได้ทันทีให้กับเพื่อนเสมอ แต่พอปัญหาเกิดขึ้นกับตัวเราๆมักจะมองไม่เห็นทางออก คิดไม่เจอคำตอบ หรือแม้กระทั่งตัดสินไปแล้วว่าชีวิตต้องพังพินาศแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมานั้น ปัญหาที่ทำให้ชีวิตเราต้องพังพินาศ หรือร้ายแรงอย่างที่คิดนั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือถ้าจะเกิดขึ้นก็น้อยครั้งมาก คำถามคือทำไมเราส่วนใหญ่หรือแทบทุกคนถึงชอบจินตนาการถึงปัญหาของตัวเราไปในทิศทางนั้นเสมอล่ะ ผมขอเปรียบง่ายๆให้เห็นภาพว่าปัญหาก็เหมือนกัน…

Child Psychology จิตวิทยาเด็ก

สรุปหนังสือ Child Psychology จิตวิทยาเด็ก หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจว่าแท้จริงแล้วทารกแรกเกิดนั้นฉลาดเฉลียวกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างเราคิดมากเพียงใด เพราะเค้าสามารถเข้าใจเหตุผลความเชื่อมโยงได้ตั้งแต่ 3 เดือน ไปจนถึงสามารถแยกเสียงแม่ออกจากเสียงผู้หญิงอื่นตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ด้วยซ้ำ ยังไม่นับอีกว่าทารกที่กำลังหัดเดินนั้นเป็นนักสู้มากกว่าผู้ใหญ่อย่าเราขนาดไหน เพราะเค้าล้มถึงชั่วโมงละ 17 ครั้งแล้วลุกขึ้นมาเดินต่ออย่างไม่ย่อท้อ แถมยังเดินเป็นระยะทางกว่า 700 เมตรในทุกๆชั่วโมงที่ตื่น ซึ่งรวมๆกันในหนึ่งวันเค้าเดินมากกว่า 5 กิโลเมตรด้วยซ้ำครับ มหัศจรรย์ของเด็กที่ผู้ใหญ่อย่างเราควรเรียนรู้ แล้วเราจะรู้ว่าไม่มีใครอัจฉริยะแต่กำเนิด แต่อัจฉริยะนั้นเกิดจากจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กครับ เพราะสังคมแวดล้อมสำคัญกว่ากรรมพันธุ์ เด็กที่มีความสุข และรู้สึกอบอุ่นมั่นคงท่ามกลางสมาชิกครอบครัว เพื่อนฝูง และสภาพแวดล้อมทางสังคม มีแนวโน้มที่จะพัฒนาศักยภาพด้านสติปัญญาได้อย่างเต็มที่ ส่วนเด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เป็นกังวลหรือหวัดกลัว จะประสบปัญหาด้านการเจริญเติบโต…

Think Like A Freak คิดพิลึกแบบนักเศรษฐศาสตร์

สรุปหนังสือที่สอนให้เราคิดไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าคิดพิลึกแบบนักเศรษฐศาสตร์ครับ เพราะบางทีปัญหาที่เราคิดแทบหัวแตก พอเราลองคิดเล่นๆแบบแปลกๆกลับคิดออกแบบง่ายๆ ผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Steven D. Levitt ที่เขียนร่วมกับ Stephen J. Dubner นักเขียนจากหนังสือพิมพ์ชื่อดัง The Newyork Time มาร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์พร้อมเรื่องสนุกๆจากการคิดพิลึก หรือการคิดให้ลึกกว่าที่คนทั่วไปคิด อย่างบางช่วงที่เคยมีกระแสข่าวของโรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ แต่พอซักพักกระแสข่าวนั้นก็หายไป ถ้าคิดแบบคนทั่วไปก็อาจคิดว่า “อ้อ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคนี้แล้ว” แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าคิดให้พิลึกลงไปแบบนักเศรษฐศาสตร์ คุณอาจพบว่าคนที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ในช่วงนั้นอาจมีแค่กลุ่มนักเขียนข่าวก็เป็นได้ แล้วพอพวกเค้าหายจากโรคนี้ก็แค่เลิกเขียนหรือพูดถึงมันไปเท่านั้นเองครับ เห็นมั้ยครับว่าถ้าคิดแบบทั่วไปก็คงไม่สามารถคิดแบบนี้ได้ ต้องคิดแบบพิลึก และคิดให้ลึกลงกว่าคนปกติแบบนักเศรษฐศาสตร์เท่านั้นจริงๆครับ หรือจากข่าวฆ่าตัวตายเราอาจหลงคิดว่ากลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนจนที่ลำบากลำบนกับชีวิตมากแน่ๆ…

How Happiness Works ความสุขทำงานอย่างไร

จากนักเศรษฐศาสตร์ด้วยความสุขและพฤติกรรม ที่มีดีกรีระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ ที่ปัจจุบันเป็นถึงศาสตราจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรมไปแล้ว ณัฐวุฒิ เผ่าทวี คนนี้เขียนบอกเล่าเรื่องราวของ ความสุข พฤติกรรม และ เศรษฐศาสตร์ เอาไว้ให้อ่านเข้าใจง่าย แถมยังสนุกอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินไม่ใช่ความสุข เค้าเล่าว่าจากงานวิจัยร่วมของ Daniel Kahneman (เจ้าของรางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ที่เขียนหนังสือชื่อดังแต่ยังไม่มีแปลไทยอย่าง think fast and slow) พบว่า คนที่มีเงินเยอะแทนที่จะใช้เวลาพักผ่อนหาความสุข กลับเป็นว่าพวกเขาใช้เวลาทำงานมากกว่าคนที่มีเงินน้อยกว่า และผลก็คือความเครียดที่มากกว่าที่เรามักชอบคิดว่า คนรวยมักจะมีความสุขนั่นเองครับ แต่ถ้าไม่มีเงินเลยนั่นก็ทุกข์อีกเรื่องเลยนะครับฉะนั้นทำงานหาเงินให้พอดี แล้วก็ใช้เวลาหาความสุขให้ตัวเองบ้างนะครับ…

Unthink หลอกสมองให้ไม่ต้องคิด

เป็นหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาและพฤติกรรมของคน ที่เอาไปประยุกต์ใช้กับการตลาดและชีวิตประจำวันได้หลายเรื่อง ถ้าใครที่ชอบอ่านแนวเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จิตวิทยา หรือจิตวิทยาสังคม แล้วอยากรู้ให้ลึกขึ้นอีกระดับ ผมแนะนำเล่มนี้ เนื้อหาโดยสรุปคือ…เรามักคิดว่าเราใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา และมีสติในการเลือกหรือตัดสินใจแทบทุกเรื่องในชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เราแทบไม่ได้คิดก่อนจะเลือกเสมอไปอย่างที่เราชอบคิด แต่เราจะคิดเมื่อเลือกไปแล้ว คิดให้เหตุผลหลังเลือก ไม่ใช่เลือกอย่างมีเหตุผล จากการทดลองในเล่มที่น่าสนใจหลายเรื่อง แต่ขอหยิบบางเรื่องที่เห็นว่าน่าสนใจจริงๆมาสรุปให้ฟังก็แล้วกันครับ เราไม่ได้หัวใจเต้นแรงเพราะตกหลุมรักใครบางคนเสมอไป แต่บางครั้งเราตกหลุมรักใครบางคนตรงหน้าเพราะหัวใจเรากำลังเต้นแรงอยู่ จากการทดลองที่ให้ผู้ชายหญิงเดินข้ามสะพานสูงที่เชื่อมระหว่างสองผา พบว่าชายหรือหญิงที่เดินข้ามสะพานที่น่าหวาดเสียวนี้มา รู้สึกว่าตัวเองประทับใจฝ่ายตรงข้ามที่รออยู่ปลายสะพานมากกว่าผู้ทดลองอีกกลุ่ม ที่ให้เดินข้ามทางธรรมดาปกติที่ไม่ได้หวาดเสียวไปกระตุ้นการเต้นของหัวใจแต่อย่างไร ผลคือชายหญิงที่เดินข้ามสะพานสูงที่น่าหวาดเสียวมีอาการทางร่างกายคล้ายกับการตกหลุมรักใครบางคนจนหัวใจเต้นแรง เลยทำให้ปิ๊งกับคนปลายทางจนมีการขอเบอร์ติดต่อกันหลังจากนั้นมากกว่ากลุ่มที่เดินข้ามทางปกติไม่หวาดเสียวกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรง ถ้ารู้แบบนี้แล้วอยากให้ใครซักคนตกหลุมรัก ให้พาไปเล่นรถไฟเหาะ หรือดูหนังสยองขวัญแทนหนังรักนะครับเดทหน้า แถมการใส่เสื้อสีแดงที่สื่อถึงความร้อนแรง ก็ยังทำให้คุณดูน่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย อันนี้เค้าทดสอบมาแล้ว…

Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

“อัจฉริยะ หรือ ไม่ลดละ” ระหว่างที่อ่านมาได้ซักพักผมคิดถึงประโยคนี้เสมอ ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มไหนผมจำไม่ได้แล้วที่เค้าบอกว่า David Beckham ที่ดูเป็นอัจฉริยะลูกหนัง หรือนักเตะมากพรสวรรค์นั้น ท่านเซอร์เฟอร์กี้บอกว่า พรสวรรค์ของ Beckham คือความขยันและอดทนฝึกซ้อมเตะฟรีคิกมากกว่าคนอื่นจะทำได้ จากประโยคนั้นทำให้ผมมีมุมมองใหม่ต่อคำว่าอัจฉริยะหรือพรสวรรค์ที่ต่างจากเดิมที่เคยเชื่อมาแต่เกิดโดยสิ้นเชิง เพราะเบื้องหลังอัจฉริยะที่เราคิดว่าเค้ามีพรสวรรค์นั้น แท้จริงเค้าคือคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำมากกว่าคนอื่น เพราะในบรรดาคนเก่งก็ต่างเต็มไปด้วยคนเก่งไม่แพ้กัน แต่คนที่อดทนมากกว่าคนอื่นต่างหากคืออัจฉริยะ แล้วที่เล่ามาทั้งหมดนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อย่างไรล่ะ? คุณอาจกำลังสงสัย และผมก็กำลังจะบอกว่าเกี่ยวมาก เพราะ mindset หรือความคิดตั้งต้นนั้นเป็นตัวกำหนดให้เราเป็นคนรอคอยพรจากสวรรค์ หรือเป็นคนที่เรียนรู้และลงมือทำอย่างไม่ลดละกันแน่ แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้บอกว่า “ความคิด” หรือ mindset ของคนเราแบ่งออกได้เป็นสองประเภท…

Propaganda โฆษณาชวนเชื่อ

สรุปอย่างย่อ นี่คือหนังสือที่สอนเรื่องการ PR ชั้นดี ที่เผยเบื้องหลังของสิ่งต่างๆรอบตัวที่เรามองข้ามมาตลอด ให้เห็นความเชื่อมโยงที่จริงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าลองคิดตามดูจะพบว่ามันจริงซะจริงจนไม่รู้จะว่ายังไง เช่น การจะทำให้สินค้าที่ผ่านการออกแบบมีค่าในสายตาผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น ก็จะไม่ใช้การโฆษณาตรงๆ แต่จะใช้การสร้างกระแสให้เห็นคุณค่าของการศิลปะ อาจจะผ่านหอศิลป์ต่างๆมากมาย เพื่อให้คนยอมรับในคุณค่าของการออกแบบมากขึ้น แม้หนังสือเล่มนี้จะอ่านแล้วไม่สมูทเท่าไหร่นักในความคิดผม แต่ผมว่าเนื้อหาในเล่มมีประเด็นเด็ดๆที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนไม่น้อยเลยครับ ดังนั้นถ้าใครทำงานการตลาด ทำงานด้านการขาย หรือทำงานประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะแค่อยากรู้เท่าทันว่าสารที่เราเห็นผ่านสื่อรอบตัวนั้น แท้จริงแล้วเค้ากำลังต้องการอะไรจากเรากันแน่ เพราะการโฆษณาชวนเชื่อคือการไม่บอกตรงๆว่าอยากให้เราทำอะไร แต่เป็นการพูดอ้อมๆหรือสะกิดเบาๆให้เรารู้เองว่าเราควรทำหรือคิดอย่างไร สรุปอย่างยาว ผมขอหยิบบางส่วนในเล่มมาเล่าให้ฟังเพื่อเรียกน้ำย่อยให้คุณไปหามาอ่านเองแบบเต็มๆที่งานหนังสือที่กำลังจะมาถึงสิ้นเดือนนี้ หรือลองไปหาดูตามร้านหนังสือใกล้บ้านนะครับ ป้อนเรื่องให้คนต้องคิด ทำให้คนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่อยากให้คิด อย่างการที่สื่อต่างๆพยายามป้อนข่าวโน่นนี่นั่นใส่หัวเราตลอดเวลา บางทีเค้าก็ไม่ได้อยากให้เราใส่ใจเรื่องนั้นหรอก แต่เค้าแค่ไม่อยากให้เรามีเวลาว่างไปใส่ใจเรื่องอื่นที่เค้าไม่อยากให้เราใส่ใจ…

THE ART OF POWER ศิลปะแห่งอำนาจ ติช นัท ฮันห์

อำนาจคืออะไร? เมื่อก่อนจะอ่านหนังสือเล่มนี้ของท่าน ติช นัท ฮันห์ (พระชาวเวียดนามที่ดูเหมือนว่าน่าจะเข้าใจเรื่องเซน และหลักของพุทธแบบถึงแก่นในแบบของท่านเองด้วยเช่นกัน) ในความเข้าใจของผมถึง “อำนาจ” คือ พลัง หมายถึงขุมพลัง หรือความแข็งแกร่ง ถ้าเปรียบเป็นคนก็นึกถึง Superman เลยก็ได้ ยอดมนุษย์ที่เสมือนเทพเหนือกว่ายอดมนุษย์ทั้งมวลในจักวาล DC ดังนั้น “อำนาจ” หรือ Power นั้นก็คงหมายถึงพลังที่ทำให้เราเหนือกว่าผู้อื่นทั้งมวล ไม่ว่าจะด้วยร่างกาย เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ตำแหน่ง แต่ในความเข้าใจใหม่ที่หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจความหมายของ “อำนาจ” หรือ…