ช้าให้ชนะ

สรุปหนังสือ ช้าให้ชนะ ยิ่งเร่งรีบเท่าไหร่ ยิ่งต้องเดินให้ช้าลงเท่านั้น เพราะในชีวิตที่มีแต่ความรีบเร่งให้บรรลุเป้าหมายหรือความต้องการในชีวิต เราต่างลืมศิลปะในการใช้ชีวิตอย่างความใส่ใจกับสิ่งดีๆรอบตัวต่างๆมากมาย จากประสบการณ์ตรงของ Kazuo Inamori อดีต CEO สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น JAL ที่พาองค์กรรอดจากวิกฤตล้มละลายครั้งใหญ่ ให้กลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง คนส่วนใหญ่มองหาทางลัด แต่จากประสบการณ์ผู้มากประสบการณ์และประสบความสำเร็จอย่างผู้เขียนกลับบอกชัดเจนว่า “ไม่มีทางลัดสำหรับความสำเร็จ” แล้วอย่างนั้นทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จได้เร็วที่สุดล่ะ นี่คงเป็นคำถามของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน.. ผู้เขียนบอกว่าความสำเร็จได้จะมาจาก 3 ส่วนสำคัญที่ช่วยทวีคูณกัน สมการนั้นคือ ความสามารถ x ความพยายาม x ทัศนคติ =…

คิดการใหญ่ให้ใช้กึ๋น Think Like An Athlete

สรุปหนังสือ คิดการใหญ่ให้ใช้กึ๋น หรือ Think Like An Athelete โดย David Nicholsonกับ 57 แนวคิดแบบแชมเปี้ยน จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เป็นนักกีฬาผู้มีไฟแต่ไม่เคยได้รางวัล งงเหมือนกันไม่เคยได้รางวัลแต่มาเขียนหนังสือได้ยังไง แต่พออ่านจบแล้วก็ทำให้คิดได้ว่ารางวัลจากการกระทำอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักในการใช้ชีวิตของใครหลายคน แค่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ย่อท้อ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่คนเราจะมอบให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องรอสมาคมหรือสมาพันธ์ที่ไหนมามอบให้ เพราะอะไรน่ะหรอครับ ก็เพราะคนส่วนใหญ่มักจะรอให้คนอื่นหรือคนส่วนใหญ่ตัดสินตัวเองแล้วก็เชื่อตามนั้น แต่จะมีซักกี่คนบนโลกที่คิดและทำได้อย่างคนเขียนหนังสือเล่มนี้ ทำเอาผมทึ่งและนับถือไปด้วยเลย เมื่อ 57 แนวคิดบทความสั้นๆอ่านง่ายๆแต่มีแก่นสำคัญให้ยึดแนวทางไปใช้โดยไม่ต้องติดกับวิธีการ ในการนำเอาบทเรียนจากการฝึกซ้อมกีฬาหรือการแข่งขัน นำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันทั้งในเรื่องส่วนตัว และในเรื่องของธุรกิจ เพราะเกมส์กีฬาที่ต้องแข่งกันเข้ารอบถัดไป หรือแม้แต่เข้าชิงชัยให้ได้ที่หนึ่งนั้น ก็ไม่ต่างกับเกมส์ธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับคู่แข่งอยู่เป็นประจำตรงไหน…

ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง The Obstacle is the Way

สรุปหนังสือ ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง The Obstacle is the Way หนังสือเล่มนี้เตือนสติให้รู้ว่า “ปัญหา” ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ “ใหญ่” อย่างที่เรามักคิดไว้ เพราะคนเรานั้นมักเติมความคิดและอารมณ์เข้าไปในปัญหาส่วนใหญ่ให้ร้ายแรงเกินจริงกันทั้งนั้น เช่น เวลามีเพื่อนมาปรึกษาปัญหาอะไรก็ตามกับเรา เรามักจะมีคำแนะนำที่ดูเหมือนทำได้ง่าย ใช้ได้จริง และไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะก็หาคำตอบได้ทันทีให้กับเพื่อนเสมอ แต่พอปัญหาเกิดขึ้นกับตัวเราๆมักจะมองไม่เห็นทางออก คิดไม่เจอคำตอบ หรือแม้กระทั่งตัดสินไปแล้วว่าชีวิตต้องพังพินาศแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมานั้น ปัญหาที่ทำให้ชีวิตเราต้องพังพินาศ หรือร้ายแรงอย่างที่คิดนั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือถ้าจะเกิดขึ้นก็น้อยครั้งมาก คำถามคือทำไมเราส่วนใหญ่หรือแทบทุกคนถึงชอบจินตนาการถึงปัญหาของตัวเราไปในทิศทางนั้นเสมอล่ะ ผมขอเปรียบง่ายๆให้เห็นภาพว่าปัญหาก็เหมือนกัน…

เป็นคนเก่งไม่ต้องรู้มากแต่ต้องรู้จริง How to Study Like A Genius

มนุษย์เรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ว่าการเรียนรู้คือ “อะไร” และควรเรียนรู้ “อย่างไร” สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ การเข้าใจผิดว่า “การท่องจำคือการเรียนรู้” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า “หากผมมีเวลาแก้ไขปัญหา 20 วัน ผมจะใช้เวลา 19 วันเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจปัญหานั้น” เพื่อนที่ช่วยให้เราเรียนรู้ คือเพื่อนที่กล้าวิจารณ์เราในแง่ลบ รู้ให้รอบให้ลึกก่อนจะลงมือทำ Auguste Rodin ประติมากรชื่อดังบอกว่า ก่อนที่จะลงมือสร้างสรรค์ผลงานจริง เขาจะวาดภาพของประติมากรรมนั้นมานับไม่ถ้วน วาดเพื่อให้มือนั้นเข้าใจอย่างแท้จริงว่าจะสร้างงานชิ้นนั้นขึ้นมาได้อย่างไร เป็นการทำให้สมองคิดทำความเข้าใจงานชิ้นนั้นที่จะสร้างในหลายๆมิติ จนออกมาเป็นผลงานชิ้นเอก The Thinker…

Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

“อัจฉริยะ หรือ ไม่ลดละ” ระหว่างที่อ่านมาได้ซักพักผมคิดถึงประโยคนี้เสมอ ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มไหนผมจำไม่ได้แล้วที่เค้าบอกว่า David Beckham ที่ดูเป็นอัจฉริยะลูกหนัง หรือนักเตะมากพรสวรรค์นั้น ท่านเซอร์เฟอร์กี้บอกว่า พรสวรรค์ของ Beckham คือความขยันและอดทนฝึกซ้อมเตะฟรีคิกมากกว่าคนอื่นจะทำได้ จากประโยคนั้นทำให้ผมมีมุมมองใหม่ต่อคำว่าอัจฉริยะหรือพรสวรรค์ที่ต่างจากเดิมที่เคยเชื่อมาแต่เกิดโดยสิ้นเชิง เพราะเบื้องหลังอัจฉริยะที่เราคิดว่าเค้ามีพรสวรรค์นั้น แท้จริงเค้าคือคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำมากกว่าคนอื่น เพราะในบรรดาคนเก่งก็ต่างเต็มไปด้วยคนเก่งไม่แพ้กัน แต่คนที่อดทนมากกว่าคนอื่นต่างหากคืออัจฉริยะ แล้วที่เล่ามาทั้งหมดนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อย่างไรล่ะ? คุณอาจกำลังสงสัย และผมก็กำลังจะบอกว่าเกี่ยวมาก เพราะ mindset หรือความคิดตั้งต้นนั้นเป็นตัวกำหนดให้เราเป็นคนรอคอยพรจากสวรรค์ หรือเป็นคนที่เรียนรู้และลงมือทำอย่างไม่ลดละกันแน่ แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้บอกว่า “ความคิด” หรือ mindset ของคนเราแบ่งออกได้เป็นสองประเภท…

อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป

นั่นซิครับ อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไปจริงๆนะครับ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้เรา “ทิ้ง” แต่สอนให้เรา “เลือก” เฉพาะอะไรที่จำเป็นหรือสำคัญในชีวิตเราเท่านั้น เพราะทุกวันนี้เราเต็มไปด้วยสิ่งไม่สำคัญกับชีวิตเรามากมาย ที่ทั้งดึงพลังงาน ดูดเวลา ทำให้เราเสียสมองหมดแรงกับเรื่องที่ไม่สำคัญอยู่แทบทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวอัพเดทประจำวันที่ไม่ค่อยสำคัญกับชีวิตเราเท่าไหร่ เอาง่ายๆเราไม่รู้ก็ไม่ได้ทำให้เราโง่ขึ้นหรอกครับ แต่ในทางกลับกันยิ่งรู้มากขึ้นเรื่องพวกนี้กลับยิ่งแย่งชิงพื้นที่ในสมองและความสนใจจากเราไปจากสิ่งที่เราควรจะสนใจมากกว่า ใจความสำคัญของเล่มนี้พูดถึง “ข้าวของ” ต่างๆที่เราพยายามซื้อมาด้วยเงินที่เราพยายามหาให้ได้มากขึ้น ทั้งๆที่ข้าวของทั้งหลายกว่า 90% ในชีวิตเราที่เรามีนั้น เราไม่มีมันก็มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากขึ้นเท่าไหร่เลย แถมบางทีอาจทำให้เราสบายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเราไม่ต้องคอยเก็บกวาดดูแลรักษา จนไม่รู้ว่าในที่สุดเรา เราเป็นเจ้าของมัน หรือมันเป็นเจ้าของเรากันแน่ เพราะเรามักคิดเหมือนกันว่า การเป็นเจ้าของนั้นคือการได้มา แต่เปล่าเลยครับ ความจริงแล้วการเป็นเจ้าของที่แท้จริงคือการพร้อมจะทิ้งมันไปต่างหาก…

หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน Law of Illusion

“เราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็น แต่เลือกทุกคนต่างเห็นโลกอย่างที่เราเลือกมอง”ถ้าให้เลือกสรุปจบทั้งเล่มในหนึ่งบรรทัด ผมคงเลือกประโยคนี้ เพราะคนเราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็นซักเท่าไหร่ แต่เราทุกคนต่างมี “แว่นตา” ที่ใช้มองแต่ละสิ่ง แต่ละเรื่องที่ต่างกันไป คนนึงอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่อีกคนอาจมองเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องแบบนี้มีให้พบเจออยู่เป็นประจำ เหมือนที่วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษ ที่นำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สองจนพลิกกลับมาเอาชนะนาซีได้ในครั้งนั้น เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คนธรรมดามองเห็นปัญหาเป็นปัญหา แต่คนฉลาดมองเห็นปัญหาเป็นโอกาส” (ประโยคประมานนี้) แค่ประโยคนี้ก็ย้ำเตือนได้ดีถึง “มุมมอง” ของเรื่องเดียวกันที่ให้ผลต่างกันเกินคาด และทั้งหมดนี้ก็มาจากการ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” เหมือนชื่อหนังสือเล่มนี้จริงๆครับ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพบเจอเรื่องหนึ่งในชีวิต แล้วถ้าเรามองว่ามันเป็นปัญหา มันก็จะเป็นปัญหาอย่างที่เราคิดจริงๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรากลับมองว่านั่นคือโอกาส โอกาสที่จะทำให้เราได้ปรับปรุงมันให้ดีขึ้น…

Write Your Dream ฝันตื่นลงมือทำจึงสำเร็จ

เป็นเรื่องของหญิงสาวชาวบ้านที่ยากจนชาวเกาหลีคนนึง ที่มีช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ย่ำแย่ แต่เธอสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆอีกมากมาย เธอตั้งความฝันไว้มากมาย แล้วก็พยายามทำมันให้สำเร็จ เธอบอกว่าที่ไม่สามารถไปให้ถึงฝันได้ ส่วนใหญ่เพราะเอาแต่โทษโชคชะตาและสิ่งรอบข้าง แต่กลับลืมไปว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้คือตัวเราเอง หลายคนลดขนาดความฝันลงเพราะบอกว่ามันดูเพ้อฝัน และเป็นไปไม่ได้ แต่เธอบอกว่าอย่าลดขนาดความฝัน แต่ให้เพิ่มขนาดความพยายามเข้าไปแทน เธอบอกว่าชีวิตคนเราคือการวิ่งมาราธอน ถ้าเราหยุดวิ่งคนอื่นก็นำ ถ้าเรามัวแต่โทษว่ารองเท้าเราไม่ดีเท่าคนอื่น หรือเราเริ่มวิ่งช้ากว่าคนอื่นชีวิตก็คงไม่ไปไหน แล้วก็ได้อิจฉาเค้าต่อไป จงวิ่งและพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ มีความสุขและเรียนรู้กับสองข้างทางชีวิต ส่วนตัวผมชอบหนังสือเรื่องราวประวัติของคนแบบนี้ เพราะดูเป็นไปได้และไกล้ตัว มากกว่ามหาเศรษฐีพันล้านแสนล้านเสียอีก อ่านเมื่อปี 2016

Our Iceberg is Melting เมื่อทุกอย่างปกติดีก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง

เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องทีมเวิร์คในรูปแบบนิทานการ์ตูนที่ไม่ว่าใครก็เข้าใจได้ เหมือนเอาฉากในชีวิตจริงในการทำงานออกมาเสียดแทงใจดำคนหลายคน ทั้งปัญหาจากการทำงานหมู่หรือการอธิบายความคิดของคนในหลายตำแหน่ง ถ้าอยากให้ทีมเวิร์คในทีมดีควรซื้อไปอ่านกันคนละเล่มแล้วแล้วกลับมาคุยกันซักรอบ ทุกคนน่าจะเห็นภาพตรงกันและเข้าใจทุกๆฝ่ายได้มากขึ้น อ่านจบทำให้ผมคิดได้ว่าการเล่าเรื่องด้วยนิทานนี่คนเขียนคนคิดต้องมีความเข้าใจที่แตกฉานในเรื่องนั้นมากจริงๆ ไม่งั้นก็จะเป็นได้แค่พวกคลั่งศัพท์วิชาการไทยคำอังกฤษคำเป็นกูรูกับพวกคนดูก็ต้องบอกว่ากูงงไปเรื่อยๆ เพราะการอธิบายที่ดีที่สุดคุณต้องถ่ายทอดความคิดให้แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจได้ ถ้าทำไม่ได้นั่นหมายความว่าถ้าไอเดียคุณยังไม่ดีคุณก็ยังไม่เข้าใจมันเองได้ดีพอ แก้กันที่ตัวเองง่ายกว่าแก้ที่คนอื่นเยอะเลย ปล.สรุปเกี่ยวกับเนื้อหาหนังสือมั้ยเนี่ย อ่านเมื่อปี 2016

How to win friends and influence people วิธีชนะมิตรและจูงใจคน

สรุปหนังสือ How to Win Friends and Influencer People วิธีชนะมิตรและจูงใจคน Dale Carnegie เดล คาร์เนกี หนึ่งในนักเขียนที่ผมชอบมากถึงมากที่สุดคนนึง เรียกได้ว่าถ้าเจอหนังสือของชายคนนี้เมื่อไหร่ ผมมีอันต้องเสียเงินแน่ และหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในน้อยเล่มที่ผมเลือกหยิบมาอ่านซ้ำในปีนี้ หลังจากอ่านครั้งแรกไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วมั้งครับ (ขอโทษทีที่จำปีที่แน่นอนไม่ได้) ความรู้สึกในตอนนั้นที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้คือ “ทำไมไม่ได้อ่านหนังสือดีๆแบบนี้ตั้งนานแล้วนะ” แม้หนังสือเล่มนี้จะเขียนมาร่วมร้อยปีได้ แถมภาษาที่ใช้แปลในเล่มก็เป็นภาษาเก่าแก่ก็ตาม (บอกได้เลยว่าอ่านหนังสือเล่มนี้ให้อารมณ์เหมือนฟังปู่ย่าตายายเล่าให้ฟัง) แต่เนื้อหาหรือ “แก่น” ของหนังสือเล่มนี้กลับไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลาร้อยปีที่ผ่านไปเลย กลับยังคงมีความสดใหม่…