52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม The Art of Thinking Clearly

“ความคิด กับ ความจริง คือคนละสิ่งกัน” ถ้าให้สรุปหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งประโยค ผมว่าประโยคนี้แหละ เพราะเรามักจะสร้างความคิดขึ้นมาครอบงำความจริงไว้อีกขั้นนึง ความคิดจึงมีความจริงอยู่ส่วนนึงที่เป็นส่วนน้อย ที่เหลือก็จะเป็นอารมณ์ สภาพแวดล้อม หรือตัวแปรต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เลยเหมือนคู่มือที่ทำให้เราเข้าใจหลักการ 52 ของความคิดคิด เพื่อให้เรารู้เท่าทันและเข้าใจตัวเราเองและคนเราว่า “คิดกันยังไง” ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่ทำงานด้านการตลาด โฆษณา หรือนักวางกลยุทธ์ เพราะคุณจะรู้ว่าเราสามารถชี้นำความคิดหรือพฤติกรรมของคนได้ด้วยวิธีไหนบ้าง แน่นอนไม่มีวิธีไหนสามารถรับประกันผลได้ 100% แต่มันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ เช่น เรื่อง Illusion of control หรือ…

หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน Law of Illusion

“เราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็น แต่เลือกทุกคนต่างเห็นโลกอย่างที่เราเลือกมอง”ถ้าให้เลือกสรุปจบทั้งเล่มในหนึ่งบรรทัด ผมคงเลือกประโยคนี้ เพราะคนเราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็นซักเท่าไหร่ แต่เราทุกคนต่างมี “แว่นตา” ที่ใช้มองแต่ละสิ่ง แต่ละเรื่องที่ต่างกันไป คนนึงอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่อีกคนอาจมองเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องแบบนี้มีให้พบเจออยู่เป็นประจำ เหมือนที่วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษ ที่นำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สองจนพลิกกลับมาเอาชนะนาซีได้ในครั้งนั้น เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คนธรรมดามองเห็นปัญหาเป็นปัญหา แต่คนฉลาดมองเห็นปัญหาเป็นโอกาส” (ประโยคประมานนี้) แค่ประโยคนี้ก็ย้ำเตือนได้ดีถึง “มุมมอง” ของเรื่องเดียวกันที่ให้ผลต่างกันเกินคาด และทั้งหมดนี้ก็มาจากการ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” เหมือนชื่อหนังสือเล่มนี้จริงๆครับ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพบเจอเรื่องหนึ่งในชีวิต แล้วถ้าเรามองว่ามันเป็นปัญหา มันก็จะเป็นปัญหาอย่างที่เราคิดจริงๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรากลับมองว่านั่นคือโอกาส โอกาสที่จะทำให้เราได้ปรับปรุงมันให้ดีขึ้น…

INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด

สรุปหนังสือ Inbound Marketing เล่มนี้ เมื่ออ่านจบผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่เพิ่งเรียนรู้และสนใจเรื่องการตลาด อยากรู้ว่าการตลาดในยุคดิจิทัลทุกวันนี้ควรรู้อะไร และต้องทำอย่างไร หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหนังสือการตลาด 101 ที่ครบและครอบคลุมในทุกด้านที่จำเป็นต้องรู้ กลุ่มที่สองคือคนที่กำลังสนใจศึกษาเรื่องดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง หรือการตลาดออนไลน์เพิ่มเติม อาจจะเป็นคนที่เก่งกาจเรื่องการตลาดและการขายแบบเดิม แต่อยากอัพเดทตัวเองให้ทันโลก แบบหลักสูตรเร่งลัด และไม่ต้องการพวกศัพท์แสงเทคนิคเยอะ เพราะหนังสือเล่มนี้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สามารถเปรียบเปรยกับเรื่องต่างๆรอบตัวได้อย่างดี นั่นหมายความว่าผู้เขียนต้องแตกฉานดีจนสามารถเปรียบเทียบกับเรื่องต่างๆรอบตัว สามารถทำให้เรื่องใหม่ของคนที่ยังไม่แน่นเรื่องดิจิทัล ก็สามารถเข้าใจได้ว่าไม่ได้ใหม่จนน่ากลัวขนาดนั้น ส่วนกลุ่มที่สามที่ผมอยากแนะนำให้อ่านก็คือพวกที่คิดว่ารู้ดีอยู่แล้ว หรือคนที่ทำงานด้านดิจิทัลมานาน ด้วยความที่มันนานนี่แหละครับ บางครั้งบางทีเราก็อาจหลงลืมอะไรบางอย่างที่มันเป็นพื้นฐานไปได้ เหมือนได้กลับมาทบทวนความรู้อีกครั้ง หรือบางเรื่องก็อาจจะได้อีกมุมมองในเรื่องที่เคยรู้ หรือเคยคิดว่ารู้ครับ เนื้อหาในเล่มแบ่งย่อยออกเป็น…

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 15, คำถามสำคัญกว่าคำตอบ

คำถามก็เหมือนกับเข็มทิศ ที่จะชี้บอกว่าปลายทางที่เราต้องการจะไปถึงคือตรงไหน ส่วนคำตอบก็เปรียบได้กับเส้นทาง ที่เราจะก้าวเดินไปเพื่อให้ถึงปลายทางของคำถามนั้น ดังนั้นถ้าผิดตั้งแต่คำถาม คำตอบที่ได้มากต่อให้สวยงามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เช่น MK เองเคยมีปัญหาหลังจากเปลี่ยนมาใช้เตาไฟฟ้าว่า “น้ำเดือดช้า” ถ้าใครที่มีเตาไฟฟ้าที่บ้านจะรู้ดีว่าเวลาต้มน้ำด้วยเตาไฟฟ้านั้นไม่ร้อนเร็วสะใจเหมือนเตาแก๊สเลย ทางคุณฤทธิ์ ธีระโกเมน เจ้าของ MK เองมีพื้นฐานมาจากวิศวกรก็เลยใช้วิธีตั้งคำถามว่า น้ำเดือดด้วยอะไร คำตอบที่ได้คืออุณหภูมิ คุณฤทธิ์ เลยตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วมีอุณหภูมิอะไรบ้าง หนึ่งคือตัวเตาส่งไปยังตัวน้ำ สองคือตัวน้ำที่เดือดแล้ว จากคำถามนี้เองเลยได้คำตอบที่ทำให้น้ำซุปเดือดเร็วง่ายๆว่า ก็ทำให้น้ำมันร้อนพร้อมเดือดซิ คำตอบง่ายมากครับ ใครจะบอกว่าขวานผ่าซากก็แล้วแต่มุมมอง แต่คำตอบนี้จริงที่สุด เพราะถ้าแก้ที่ความร้อนของเตาไม่ได้ ก็แก้ที่ความร้อนของน้ำตรงเลยง่ายกว่า…

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 1

ผมเริ่มจากอ่านเล่มหลังๆของคุณหนุ่มเมืองจันท์ พอได้ลองมาอ่านเล่มแรกของแกก็เลยรู้สึกว่าสำนวนสำเนียงการเขียนเปลี่ยนไปพอสมควร แต่ที่ไม่เปลี่ยนคือ “สาระ” และความ “ตลก” ต้องบอกว่าเป็นหนังสือไม่กี่เล่มที่ทำให้ผมต้องกลั้นขำเวลาอ่านบนรถไฟฟ้าตอนเช้าไปทำงาน แถมบางตอนก็ขำมากจนต้องกลับมานั่งอ่านใหม่ที่บ้านหรือร้านกาแฟ จะได้ปล่อยก๊ากได้เต็มที่ แค่อ่านไม่กี่เล่มก็รู้ว่าคุณหนุ่มเมืองจันท์เป็นคนที่เขียนเล่าเรื่องมุขตลกได้ดีมากๆ ด้วยการเล่นกับความคาดหวังของคนแล้วก็หักมุมตบก๊ากเต็มๆ แถม “สาระ” ที่ได้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องจากไหนไกล กลับเป็นเรื่องราวของนักธุรกิจหรือคนดังคนไทยที่ไกล้ตัว จุดนี้แหละที่ผมว่าน่าสนใจ เพราะหนังสือส่วนใหญ่ที่ผมอ่านมักจะเป็นหนังสือแปล ทำให้เรื่องราวส่วนใหญ่แม้จะเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่จริง เป็นเรื่องผ่านประสบการณ์ตรง แต่ก็ยังมีระยะห่างความไกลตัวอยู่บ้าง แต่กับเรื่องเล่าของคุณหนุ่มเมืองจันท์กลับเป็นเรื่องไกล้ตัวมากมายที่นึกไม่ค่อยถึง เช่นธุรกิจของเจ้าสัวซีพี หรือเจ้าสัวเจริญเจ้าของไทยเบฟ (เบียร์ช้าง) ที่ดูจะมีหลายตอนในเล่มเหมือนกัน แต่กลับมีหลายแง่มุมมาเล่าถ่ายทอดได้น่าติดตามตลอด และก็ตบด้วยมุขตลกทุกตอนเหมือนเดิม ถ้าใครที่ชอบอ่านเอาสาระแบบไม่ซีเรียนนัก แถมยังได้ความตลกอารมณ์ขันแบบสมาร์ทๆ…

THE STRATEGIST คิดอย่างนักวางกลยุทธ์

โดย Cynthia A. Montgomery เป็นผู้สอนในหลักสูตรยอดนิยมของ Harvard Business School ที่มีชื่อว่า EOP ย่อมาจาก Entrepreneur, Owner และ President ผู้เรียนส่วนใหญ่เลยเป็นบรรดา CEO ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจ หรือไม่ก็ทายาทที่กำลังจะมารับช่วงต่อ จากบริษัทระดับกลางที่มีรายได้หรือยอดขายต่อปีอยู่ที่หลักสิบล้านดอลลาร์ จนถึงพันล้านดอลลาร์ เราอาจจะคิดว่าคนเหล่านี้ต้องรู้จักและเข้าใจในเรื่องกลยุทธ์ หรือ strategy เป็นอย่างดีอยู่แล้วซิ ไม่งั้นจะสามารถพาบริษัทให้โตจนมียอดขายต่อปีหลายสิบจนถึงพันล้านดอลลาร์ได้หรอ แต่ในความเป็นจริงแล้วใช่ครับ เพราะผู้เขียนบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงการคิดแบบนักวางกลยุทธ์อย่างแท้จริง และงานการวางกลยุทธ์ส่วนใหญ่ก็กลับเป็นของที่ปรึกษา…

165 เกร็ดสถิติจาก Harvard ที่จะทำให้คุณอ่านเกมขาดเรื่องธุรกิจ

Stats & Curiosities from Harvard Business Review เป็นอีกหนึ่งหนังสือที่น่าสนใจและอ่านง่ายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะอ่านแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็จบแล้ว แต่กลับได้สถิติ ตัวเลข จากการสำรวจที่หลากหลาย จนทำให้ใครก็ตามที่กำลังหาข้อมูลสนับสนุนการทำพรีเซนเทชั่นสามารถเอาไปใช้ได้แบบน่าเชื่อถือ (ก็มาจาก Havard Business Review นิ จะมีซักกี่คนที่จะไม่เชื่อกันล่ะ) ไม่ต้องเกริ่นเยอะกว่านี้แล้ว ผมขอเอาบางสถิติในเล่มที่ผมคิดว่าน่าสนใจด้วยความแปลกใหม่และไม่น่าเชื่อเอามาเล่าสรุปสู่กันฟังแล้วกันนะครับ สถิติที่ 4 ผู้คนไม่ชอบธนบัตรเก่า และอยากใช้มันให้เร็วที่สุด คนที่ได้รับธนบัตรดอลลาร์ใบเก่ามีโอกาสจะนำธนบัตรไปใช้มากกว่าคนที่ได้รับธนบัตรใบใหม่ถึง 82% เพราะผู้คนรู้สึกขยะแขยงธนบัตรที่มีสภาพยับเยินและอยากกำจัดไปให้พ้นๆ เพราะรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยเชื้อโรค… ดังนั้นถ้ารัฐบาลอยากให้คนออมเงินเยอะๆช่วงไหน ก็พยายามแจกจ่ายธนบัตรใบใหม่ๆสวยๆออกไปนะครับ…

Digital Strategies ติดอาวุธให้แบรนด์พุ่งแรงในโลกดิจิทัล

ถ้ามีเพื่อนที่เป็น marketer หรือ advertiser ที่เชี่ยวชาญด้าน traditional แล้วอยากจะศึกษาด้าน digital ผมจะแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ เพราะเนื้อหาเข้าใจง่าย มีให้ครบทุกแง่มุม อาจจะยังไม่ลึกมากแต่ก็จะได้ความเข้าใจในภาพรวมได้ค่อนข้างครบ รวมถึงพวกเคสจริงจาก SME ดีๆในบ้านเราประกอบด้วย ในเล่มประกอบด้วย 4 บทใหญ่ ที่ประกอบด้วย 18 หัวข้อเริ่มตั้งแต่… บทที่ 1 สร้างธุรกิจบนโลกดิจิทัล ไม่ใช่แค่ digital marketing แต่ต้องเริ่มตั้งแต่ digital branding…

The Dentsu Way

หนังสือเล่มนี้ผมอ่านเมื่อปี 2016 จำได้ว่าเป็นหนังสือที่ว่าด้วยวิธีคิดแบบ Dentsu ว่าหนึ่งในเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ระดับโลกเค้ามีหลักการคิดยังไง เท่าที่จำได้ถึงตอนนี้คือไอ้หลักการคิดแบบ ZMOT ของ Google นั้นถูกเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปี 2010 แล้ว หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยวิธีการคิดแบบ cross communication หรือโมเดล AISAS ที่เข้ามาแทนที่โมเดลการสื่อสารแบบเก่าๆอย่าง AIDA AIDA ย่อมาจาก Aware > Interest > Desire > Action จะเห็นว่าเป็นโมเดลการสื่อสารแบบเดิมที่เน้นส่งโฆษณายัดเข้าตาสะกดจิตให้คนจำจนออกไปซื้อ ส่วนโมเดลของ…

Call of The Mall ยกพลขึ้นห้าง

โดย Paco Underhill ผู้ที่สนใจเรื่องการตลาดบางคนอาจคุ้นกับชื่อนี้นิดๆ ก็เพราะ Paco Underhill เป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ Why We Buy และเป็นเจ้าของบริษัท Environsell ที่ทำการสำรวจวิจัยพฤติกรรมบรรดานักช็อปให้กับบริษัทชั้นนำมาแล้วทั่วโลก และบริษัทของเค้าก็มีสาขาแทบจะทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย หนังสือเล่มนี้สนุกตรงที่เหมือนการที่นักเขียนพาเราไปเดินห้าง แต่การเดินห้างครั้งนี้จะไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เราไปเดินห้างเลยซักครั้งในชีวิต เพราะการเดินห้างครั้งนี้จะเต็มไปด้วยคำถามและการสังเกตุมากมายที่เราไม่เคยสังเกตุมาก่อน ห้างกลายเป็นแหล่งชุมชนแห่งใหม่ในสังคมที่เพิ่งถือกำเนิดมาได้ประมาณ 60-70 ปีก่อนที่อเมริกา ห้างในที่นี้คือสถานที่ปิดเหมือนกล่องที่จุทุกอย่างไว้ข้างใน ยกตัวอย่างก็สยามพารากอน หรือเซ็นทรัลเวิร์ลละกัน ครั้งนึงห้างในอเมริกากลายเป็นแหล่งที่กีดกันชนชั้นล่างในการเข้าถึง เลือกสรรเฉพาะชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น เพราะตัวห้างในอเมริกาในสมัยก่อนนั้นไม่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงได้โดยง่าย นั่นหมายความว่าคุณต้องมีรถ ซึ่งชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าถึงได้ ครั้งนึงห้างเคยถูกตีความว่าเป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะในหลายรัฐ…