ฝันใกล้ใกล้ ไปช้าๆ, ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 4

เรามักมีฝันใหญ่ๆ ที่อยู่ไกลๆ แถมยังอยากไปถึงให้เร็วๆกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ เพราะส่วนตัวผมก็เคยมีฝันอะไรแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ เริ่มจากวัยเด็ก ฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนชื่อดัง ที่สร้างผลงานออกมาเป็นเล่มๆเหมือนที่ผมชอบอ่าน โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มฝันอยากเป็นนักดนตรีมือกีตาร์ชื่อดัง มีผลงานออกเทปให้สารกรี๊ดขอลายเซ็นกับเค้าบ้าง โตขึ้นมาอีกนิดก็ฝันอยากเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่ใครๆก็อยากมาเที่ยวดื่มเต้นฟังเพลงกัน โตขึ้นมาอีกทีฝันอยากเป็นนักเล่นเกมส์ไปแข่งแร็คนาร็อคระดับประเทศที่เกาหลีใต้ พอเริ่มเข้าวัยทำงานก็ฝันอยากเป็นนักออกแบบกราฟฟิกดีไซเนอร์ที่มีผลงานให้ชื่นชมลงหนังสือ พอมาทำโฆษณาก็ฝันอยากมีชื่ออยู่ในงานรางวัลกับเค้าบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมฝันมาเยอะมากครับ เยอะขนาดที่ว่าพออ่านเล่มนี้จบ แล้วได้ลองนึกย้อนดูก็ถึงรู้ว่าเยอะจริงๆ แถมแต่ละฝันนั้นไกลเกินจะเอื้อม แต่ก็นั่นแหละครับ เรามักถูกพร่ำบอกจากผู้ใหญ่คนรอบข้างมาตั้งแต่เด็กว่าต้องฝันให้ใหญ่ ต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มที่ 4 ของหนุ่มเมืองจันท์เล่มนี้ รวมเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของใครหลายคน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจคนสำคัญในประเทศ แต่ก็มีดังๆนอกประเทศมาแซมๆบ้าง ให้เราเห็นเรื่องราวความฝันที่กลายเป็นความจริง ความฝันที่ไม่ได้แค่เอาแต่ฝันเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่เป็นความฝันที่อาจจะใหญ่…

มองโลกง่ายง่ายสบายดี, ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 3

เพราะหลายทีเราก็ตั้งโจทย์ให้ชีวิตยากไป ปัญหาเดียวกันแต่ตั้งคนละโจทย์ คำตอบก็ต่างกันแล้ว จะว่าไปการตั้งโจทย์ก็เหมือนกับการทำ strategy ปัญหาสุดคลาสสิคของการทำโฆษณาคือ…อยากให้คนรู้จักมากขึ้น หรือเพิ่ม Awareness ต้องทำไง หลายครั้งก็ตั้งโจทย์กันไปว่าต้องทำไวรัลวีดีโอ แล้วก็ไประดมเวลาพลังสมองกันหาทางทำวีดีโอให้น่าจะไวรัลที่สุด ถึงเวลาไอเดียมาก็คอมเมนท์กันตามความชอบ นั่นไม่ไวรัล นี่ไม่ไวรัล โดยที่ไม่เคยมีข้อสรุปกันเลยว่าอะไรที่ “น่าจะ” ไวรัลไม่ไวรัลเลยซักที ทั้งที่บางทีถ้าถอยออกมามองปัญหาให้กว้างขึ้นอีกนิด อาจจะเห็นอะไรที่มองข้ามไปทำให้ตั้งโจทย์ใหม่ได้ดีขึ้น โจทย์อาจไม่ใช่ awaness แต่อาจเป็นหาซื้อยากก็ได้ งั้นเลิกคิดไวรัล ไปเพิ่มช่องทางการขายหรือทำให้คนติดการซื้อผ่านออนไลน์กันเถอะ ที่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่ทำมาแล้วครับตอนดันยอดขายให้โฟมล้างหน้ารายหนึ่งขายบนออนไลน์เพิ่มขึ้นได้ 10เท่า พูดเรื่องตัวเองเยอะแล้ว กลับมาที่หนังสือหน่อยดีกว่า คนส่วนใหญ่ที่ทุกข์ระทมเพราะแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้…

เดาะโลกดีดีแล้วตีลังกา, ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ๒

แม้จะเป็นหนังสือที่เก่า เพราะตีพิมพ์ครั้งแรกผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เนื้อหาสาระ ความรู้ที่ได้จากหนังสือฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มนี้นั้นไม่เก่าเลย หนุ่มเมืองจันท์ นักเขียนที่มักจะแอบเน้นในเรื่องการ “ตั้งคำถาม” อย่างคงเส้นคงวาอยู่เสมอ ผ่านมาร่วมยี่สิบปีก็ยังคงให้ความสำคัญกับ “คำถาม” มากกว่านักเขียนคนไหนๆที่ผมเคยอ่าน แค่ตั้งคำถามก็บอกได้เลยว่าฉลาดหรือโง่ คำถามที่ดีจะพาไปสู่คำตอบที่ดี ส่วนคำถามที่ผิดยังไงก็ไม่มีทางเจอคำตอบที่ถูก แถมการตั้งคำถามเปิดกว้างยังพาไปสู่คำตอบที่หลากหลายมากกว่าอีก เช่น คำถามแรก 5+5 ได้คำตอบอะไร แน่นอนว่ามีแค่ 10 เป็นคำตอบเดียวคำตอบสุดท้าย แต่ถ้าถามใหม่ว่า อะไรที่บวกกันแล้วได้ 10 แน่นอนว่าคำตอบมีมากกว่าสิบไปจนหลักร้อยอย่างน้อยๆแน่ๆ คนเก่งๆผู้บริหารหลายคนในบ้านเราให้ความสำคัญกับการ “ตั้งคำถาม”…

Disruption ฉีกแนวคิดสู่ชั้นเชิงธุรกิจ

ว่าด้วยวิธีคิดแบบ TBWA ที่เป็นแนวทางให้ TBWA ทั่วโลก คิดยังไงให้ต่าง? คำถามนี้คนโฆษณาและการตลาดมักจะคุ้นกันดี โดยเฉพาะคนเอเจนซี่ที่ต้องรับโจทย์จากนักการตลาด หรือแบรนด์มาอีกทีว่า จะทำยังไงให้สินค้าหรือบริการตัวเองต่างจากคู่แข่ง ทั้งๆที่ทุกวันนี้ความแตกต่างในสินค้าหรือบริการนั้นกลับแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว นวัตกรรมใหม่ๆที่เคยทำให้แบรนด์ๆแตกต่างในได้ในอดีต กลับถูกลอกเลียนแบบได้ในเวลาที่สั้นลงกว่าทุกยุคที่ผ่านมา หรือที่มีคำเรียกว่า commondization หรือแปลง่ายๆเป็นภาษาชาวบ้านว่า “มันก็คือกันทั้งนั้นแหละ” แล้วเราจะทำยังไงให้เรา “ต่าง” จากคู่แข่งได้บ้างล่ะ? หนังสือเล่มนี้บอกว่ามันยังพอมีแนวทางอยู่ และแนวทางนี้ก็ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆก็คือ Convention / Disruption / Vision Convention…

Biz View 361º กระตุกต่อมคิด มองธุรกิจมุมใหม่

“มุมใหม่” คำง่ายๆแต่น้อยคนนักจะทำได้ เพราะคนเราส่วนใหญ่มักจะติดมุมมองเดิมจากความเคยชิน ความเคยชินทำให้เราใช้สมองกับสิ่งนั้นลดลงโดยธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ผิดแปลกอะไร เพราะนั่นเป็นพันธุกรรมของมนุษย์เราที่ถูกโปรแกรมมาโดย DNA แล้วว่าพยายามเซฟพลังงานให้มากที่สุด โดยเฉพาะพลังงานทางความคิดที่ต้องใช้สมอง เพราะใครจะเชื่อว่าสมองที่หนักแค่ 1.2 กิโลนิดๆ กลับใช้พลังงานมากถึง 20% แต่ก็ยังมีกลุ่มคนจำนวนน้อยที่สามารถข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้ ด้วยการใช้สมองให้มากกว่าคนทั่วไป พยายามคิดหา “มุมใหม่” ใน “สิ่งเดิม” จนเจอโอกาสมากมายที่มีแต่คนมองข้ามทั้งๆที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า จนทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นผู้ที่ “ประสบความสำเร็จ” ทั้งหลายแหล่ที่เราเห็นตามหน้าข่าวทีวี หนังสือพิมพ์ หรือบนหน้าฟีดเฟซบุ๊คของเราด้วยซ้ำไป ฟังแบบนี้อาจจะดูท้อ แต่ความจริงแล้วการพยายามหา “มุมมองใหม่” เป็นเรื่องที่สร้างและฝึกฝนได้…

Youtility การตลาดที่ดีเริ่มต้นที่การให้

สรุปอย่างย่อ ผมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนผสมของ Content Marketing, Realtime Marketing, Social Media และ Digital Value Transformation ใจความหลักคือการทำยังไงให้เป็นประโยชน์กับคนบนออนไลน์ ทำไมต้องคนบนออนไลน์ เพราะในวันนี้แทบไม่มีใครไม่ออนไลน์ คนไทยกว่า 50 ล้านคนใช้เฟซบุ๊ก ผมว่าอีก 20 ล้านที่ไม่ใช่น่าจะเป็นเด็กน้อยเกินกว่าจะมี Account หรือไม่ก็คนเฒ่าคนแก่มากๆอย่างยายผมที่อายุ 9x ปีแล้วและตาเป็นต้อจนมองทีวีแยกไม่ออกไหนพี่เบิร์ด ไหนลุงตู่ ดังนั้นการตลาดในวันนี้หัวใจสำคัญคือการทำยังไงที่จะช่วยเหลือคนบนออนไลน์ด้วยความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญที่ตัวเองมี ดังนั้นการตลาดในวันนี้ไม่ใช่การเที่ยวตะโกนให้คนเข้ามาซื้อ แต่คอยฟังเสียงกระซิบเล็กๆของคนมากมายที่มีปัญหา…

สาวไส้แบรนด์ดัง มาสร้างแบรนด์ให้โดน

เต็มไปด้วยเรื่องราวของแบรนด์ดังทั้งไกล้ตัว(ในประเทศ)และไกลตัว(แบรนด์อินเตอร์)มากมาย ตั้งแต่แม่กิมไล้ของฝากยอดนิยมเวลาเมืองเพชรบุรี ไปยันแบรนด์โซนี่อดีตยักษ์ใหญ่ระดับโลก ให้ได้รู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้ หรือเจาะให้ลึกในเรื่องที่พอรู้อยู่แล้ว เป็นหนังสือที่อ่านสนุกเข้าใจง่าย เอาจริงๆใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงก็จบแล้ว ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมว่าเหมาะกับทุกคนที่สนใจอ่านเอาประดับความรู้รอบตัว โดยเฉพาะนักการตลาดหรือคนทำโฆษณาที่อาจจะแนะนำให้หามาอ่านเป็นพิเศษหน่อย แล้วคุณจะได้มุมมองใหม่ๆในการวางแผนกลยุทธ์หรือการทำการตลาดมากขึ้น ผมขอหยิบบางบทบางตอนที่เห็นว่าน่าสนใจ เอามาเล่าเป็นน้ำจิ้มเรียกน้ำย่อยให้คุณไปหาซื้ออ่านก็แล้วกันนะครับ ว่าด้วยเรื่องของแบรนด์ที่ดี แบรนด์ที่ดีสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้มากกว่าแบรนด์อื่นซึ่งขายสินค้าประเภทเดียวกัน เคสตัวอย่างคือ เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว บริษัทฮิตาชิของญี่ปุ่นกับบริษัทจีอีของอเมริกา ร่วมกันลงทุนสร้างโรงงานผลิตโทรทัศน์ในประเทศอังกฤษ พอผลิตออกมาแล้วแต่ละฝ่ายก็เอายี่ห้อของตัวเองมาติด ตั้งราคาได้เองตามใจชอบ ทำไปทำมาปรากฏว่า โทรทัศน์ซึ่งติดยี่ห้อฮิตาชิตั้งราคาได้สูงกว่าจีอีถึง 75 ดอลลาร์ แถมยังขายได้มากกว่าสองเท่าแสดงว่าแบรนด์ฮิตาชิมีภาษีดีกว่าจีอีอยู่หลายขุม…

ถ้าอยากขายซุป ต้องขายขนมปังด้วย

ขายยังไง? ทุกวันนี้คุณขายสินค้าหรือบริการของคุณยังไงบ้าง หลายครั้งเรามักติดภาพกรอบความคิดเดิมๆของสินค้าและบริการนั้น จนเราลืมไปว่ามันยังมีวิธีอื่นที่เราจะ “ขายมันใหม่” ออกไปได้อีกมากมาย ตัวอย่างการ “หาวิธีขายใหม่” ที่น่าสนใจจนกลับมาเพิ่มยอดขายได้จริงในเล่มนี้ เรื่องแรกก็คือชื่อหนังสือเลยครับ เอาขนมปังมาช่วยขายซุปถ้วยเดิม เรื่องมันมีอยู่ว่า คนอร์คัปซุป(ที่ญี่ปุ่น) ประสบปัญหาราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2005-2008 เหมือนกับผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็เลยพยายามแก้เกมส์ครั้งแรกด้วยการชูจุดขายว่า นี่คือซุปที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจากในประเทศจากเกาะฮอกไกโดเท่านั้น โดยคาดหวังว่าความเป็นชาตินิยมของญี่ปุ่นจะกลับมากระตุ้นยอดขายให้ตัวเอง แต่ผลที่ได้คือเปล่าเลยครับ ยอดขายไม่กระเตื้องแถมยังเปลืองงบโฆษณาอีกต่างหาก ผู้เขียนก็เลยออกไปสำรวจกลุ่มลูกค้าตัวจริงแล้วพบว่า คนส่วนใหญ่กินเป็นมื้อเช้า แต่คนที่กินมื้อเช้าส่วนมากชอบกินขนมปัง คนส่วนใหญ่ที่กินคนอร์คัปซุปเป็นมื้อเช้านั้นชอบกินกับขนมปัง เพราะทำให้อร่อยขึ้นเยอะ แต่คนที่กินขนมปังกลับไม่เคยกินกับคนอร์คัปซุป ก็เลยเกิดเป็นไอเดียการชูจุดขายใหม่ว่าจะ “ปังจุม” หรือ…

The Content Revolution, คอนเทนต์ปัง ยังไงก็โดน!

เมื่ออ่านจบแล้วสรุปในหนึ่งประโยคได้ว่า “เลิกแทรกแซง แต่เร่งส่งเสริม” การโฆษณาตลอดหลายสิบหรือร้อยปีที่ผ่านมาเอาแต่ “แทรงแซง” หรือขัดจังหวะคนมาตลอด แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นัก เช่น โฆษณาที่บังคับก่อนเราจะดูยูทูปโดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเราหรือความสนใจของเราเลย หรือ โฆษณาตามทีวีที่เราคุ้นเคยกัน ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับเราเท่าไหร่นัก ยิ่งเป็นในยุคดิจิทัลมากขึ้น มีเสียงรบกวนมากมายจากโฆษณาในแต่ละวัน จากข้อมูลรีเสริชที่เคยอ่านล่าสุดบอกว่า เราเห็นโฆษณามากกว่า 5,000 ชิ้นในแต่ละวัน แต่ทำไมเรากลับจำมันได้ไม่ถึง 1% เลยล่ะ ก็เพราะโฆษณาส่วนใหญ่ที่เราเห็นยังคงเน้นที่การ “แทรกแซง” ชีวิตเราเสมอ แล้วโฆษณาในยุคนี้ที่บอกว่าเป็น content marketing ล่ะต่างกันยังไง? ต่างกันครับ ตรงที่การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งจะเน้นการ…

52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม The Art of Thinking Clearly

“ความคิด กับ ความจริง คือคนละสิ่งกัน” ถ้าให้สรุปหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งประโยค ผมว่าประโยคนี้แหละ เพราะเรามักจะสร้างความคิดขึ้นมาครอบงำความจริงไว้อีกขั้นนึง ความคิดจึงมีความจริงอยู่ส่วนนึงที่เป็นส่วนน้อย ที่เหลือก็จะเป็นอารมณ์ สภาพแวดล้อม หรือตัวแปรต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เลยเหมือนคู่มือที่ทำให้เราเข้าใจหลักการ 52 ของความคิดคิด เพื่อให้เรารู้เท่าทันและเข้าใจตัวเราเองและคนเราว่า “คิดกันยังไง” ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่ทำงานด้านการตลาด โฆษณา หรือนักวางกลยุทธ์ เพราะคุณจะรู้ว่าเราสามารถชี้นำความคิดหรือพฤติกรรมของคนได้ด้วยวิธีไหนบ้าง แน่นอนไม่มีวิธีไหนสามารถรับประกันผลได้ 100% แต่มันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ เช่น เรื่อง Illusion of control หรือ…