สิ่งที่ดิสนีย์แลนด์สอนฉัน

เขียนโดย ชายผู้ทำงานที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์ตั้งแต่เปิดจนน่าจะถึงทุกวันนี้ (ขอโทษทีที่จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ครับ) ถ่ายทอดเรื่องราวสุดประทับใจจากการทำงานที่ดิสนีย์แลนด์สถานที่ในฝันของใครหลายคนทั่วโลก ในเล่มเล็กๆประกอบด้วย 4 เรื่องราวที่บอกตามตรงว่าแค่เรื่องแรกก็ทำเอาน้ำตาจะไหลตอนอ่านบน BTS ซะแล้ว เป็นเรื่องราวของเด็กสาวคนนึงที่ได้มาทำงานที่ดิสนีย์แลนด์ เจอกับเกสต์(ลูกค้า)ผู้ถามทางกลับบ้าน แล้วเธอก็ตอบไปตามความจริงแต่เธอลืมนึกเผื่อไว้สำหรับสิ่งที่เกสต์ไม่ได้ถาม ทำให้ตัวเธอต้องย้อนกลับไปสำรวจชีวิตตัวเองที่ผ่านมาถึงการใส่ใจในรายละเอียดจนทำให้เธอได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น เป็นหนึ่งในหนังสือไม่กี่เล่มที่รู้สึกดีมากที่ได้ซื้อมาโดยไม่ตั้งใจ สารภาพตามตรงตอนที่ซื้อมาก็ไม่ได้อ่านข้างในมากนัก แต่ซื้อเพราะคำว่า “ดิสนียส์แลนด์” นี่แหละครับ คำๆนี้เสมือนคำในฝันของผมมาตั้งแต่เด็กที่ฝันอยากไปดิสนีย์แลนด์ กว่าจะได้ไปก็ปาไป 25 แล้วตอนนั้น เหมือนการไล่เติมเต็มความฝันเอาตอนโต เราอาจจะโตขึ้นแต่ความฝันก็ยังคงไม่ได้โตตาม ถ้าไม่นับเรื่องของความต้องการในอาชีพหรือหน้าที่การงาน เราทุกคนต่างยังมีความฝันอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ขอให้คุณได้แบ่งเวลาได้ทำตามฝันบ้างนะครับ เหมือนผมคือการไปดิสนีย์แลนด์ในตอนโตโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าเราได้กลายเป็นเด็กอีกครั้ง (แม้จะเป็นเด็กที่ผมหงอกเต็มหัวก็ตามในตอนนี้) ปล.สรุปเพิ่มเติมปี…

ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่, ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ฉบับพิเศษ

เป็นหนังสือเก่าที่ผมเพิ่งซื้อมาใหม่จากงานหนังสือครั้งล่าสุด รู้สึกว่าจะเป็นเล่มฉลองครบรอบ 12 ปี ของหนุ่มเมืองจันทร์ ในชุด “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” เป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่กลับเต็มไปด้วยข้อคิด สาระความรู้ใหม่ๆด้วยวิธีการเล่าเรื่องสนุกๆ แถมหยอดมุขตลกแบบที่ต่อให้คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือก็น่าจะอ่านจบ และชอบได้ไม่ยาก ต้องขอบคุณน้องต๊ะ น้องในทีมสมัยเป็นครีเอทีฟที่นึงที่แนะนำให้ผมได้รู้จักกับนักเขียนคนนี้ จนผมรู้สึกว่าผมไม่น่าหลงกลซื้อเล่มก่อนมาอ่านเลย มันทำให้ผมติดจนต้องหาทุกเล่มที่ผมไม่มีมาอ่านจนได้ เล่มนี้คุณหนุ่มเมืองจันทร์บอกว่าเป็นเนื้อหาที่รวมมาจาก 12 เล่มแรก เอามามัดรวมกลายเป็นเล่มฉลอง 12 ปี แต่ที่น่าสนใจคือคุณหนุ่มเมืองจันทร์แกจะบริจาคค่าลิขสิทธิ์ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ให้กับมูลนิธิที่เกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่มนี้เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 21 แล้ว ผมเดาว่าคุณหนุ่มเมืองจันทร์น่าจะได้ช่วยบริจาคไปไม่น้อยเลยทีเดียว เนื้อหาหลักๆของเล่ม ก็ไม่พ้นจากชื่อประจำเล่มที่ว่า…

Life is a lottery คุณคือผู้โชคดี

เป็นหนังสือที่เลือกหยิบมาเพราะถูกใจหน้าปกในตอนงานหนังสือแห่งชาติเมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา สารภาพว่าไม่ได้อ่านอะไรข้างในหรอกตอนจะซื้อ แต่อีกสิ่งที่ทำให้ซื้อก็คือชื่อหนังสือที่พูดถึงเรื่อง “ล็อตเตอรี่” ผมก็เลยคาดเดาไปเองว่า “อ๋อ มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องคนที่ถูกหวยแน่ๆ เออๆ น่าสนใจดีๆ ลองหยิบติดกลับไปเก็บไว้ที่บ้านเผื่อวันไหนจะหยิบมาอ่านดีกว่า” นั่นแหละครับ จากงานหนังสือผ่านไปเกือบครึ่งปี เพิ่งจะได้หยิบมาอ่าน ทีนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องคนขายหวยหรือถูกล็อตเตอรี่อะไรเลย กลับเป็นเรื่องของ “ล็อตเตอรี่ชีวิตมากกว่า” ล็อตเตอรี่ชีวิตนี้คือการที่ผู้เขียนเลือกเสี่ยงดวงออกจากงานประจำ มาทำงานเป็นนักเขียน ก็ต้องยอมรับว่าเสี่ยงเหมือนซื้อหวยนะ เพราะงานประจำยังไงก็อิ่มท้องทุกสิ้นเดือน แต่ออกมาทำฟรีแลนซ์นี่เหมือนซื้อหวยจริงๆ โดยเฉพาะฟรีแลนซ์ที่ยังไม่โด่งดังมีชื่อเสียงก็ไม่รู้ว่าจะมีหวย หรือโชคดีเป็นงานเข้ามาให้ตัวเองเมื่อไหร่ ผู้เขียนเองถูกหวยจากการเขียนหนังสือเล่มนึง เป็นหนังสือขายดีมากที่ใครก็ต้องคุ้นหูแม้จะไม่เคยซื้ออ่าน หนังสือชื่อว่า “การลาออกครั้งสุดท้าย” ขนาดตอนนั้นผมยังเป็นพวกไม่อ่านหนังสืออะไรเลยเวลาไปร้านหนังสือเพื่อหาซื้อการ์ตูนหรือแมกกาซีนก็ต้องเห็นมีป้าย…

เหลี่ยมคุก

ถ้าพูดถึงชื่อชูวิทย์ ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนในประเทศที่ไม่รู้จัก ตั้งแต่เจ้าพ่ออ่างทองคำถึง 6 แห่ง ตามมาด้วยนักแฉในตำนานเรื่องข้าวผัดกล่องละ 5,000 บาท ต่อมาด้วยการลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพจนได้คะแนนหลักแสน แล้วก็กลายมาเป็น ส.ส. ในสภาผู้ทรงเกรียติ์ สุดท้ายมาเป็นนักโทษเด็ดขาดชายชูวิทย์ และก็เพิ่งได้รับอิสรภาพเมื่อไม่นานมานี้เอง ชูวิทย์ เป็นคนที่ใครหลายคนติดตามในเรื่องของฝีปาก กับเรื่องราวด้านมืดมากมายในสังคมที่แฉมาทีทำเอาคนใหญ่โตสะเทือนกันเป็นแถบ แต่ถูกใจชาวบ้านหรือคนที่ไม่ชอบคนใหญ่โตเหล่านั้นมากมาย เล่มนี้ชูวิทย์ไม่ได้แค่แฉ แต่ยังเป็นการตีแผ่จากชีวิตจริงหลังประตูเหล็กกำแพงหินของคุก คุก ชีวิทย์ ให้นิยามว่าเป็นสถานที่พระเจ้าไม่คาดคิด แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อกักขังกันเอง เพราะชีวิตหลังกำแพงคุกนั้นเหมือนกับถูกขโมยเวลาหายไปจากชีวิต เพราะหลายคนที่ติดอยู่หลายปีพอออกจากคุกมาก็ไม่เหลือชีวิตนอกคุกอีกต่อไป ส่วนใหญ่ก็พ่อตาย เมียหาย ครอบครัวพี่น้องไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะคนที่ติดคุกเกินสิบปีขึ้นไปเหมือนตัวตนในสังคมเค้าไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว…

สุขเลือกได้ Choose the Life You Want: 101 Ways to Create Your Own Road to Happiness.

101 วิธีในการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จากผู้สอนหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หนังสือเล่มนี้รวบรวมวิธีคิด หรือตัวอย่างจากชีวิตจริงที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยประสบ กับเหตุการณ์ หรือทางเลือกแบบนี้มาก่อน เช่น เมื่อเจอปัญหาที่เหมือนไม่มีทางออกแล้วจะทำยังไงดี เมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่มีทางเลือกแล้วจะทำยังไงต่อ หรือควรจะเลือกทางไหนที่ดีที่สุด สำหรับชีวิต..แน่นอนแทบทุกครั้งเราแทบไม่มีทางรู้เลยว่า การเลือกหรือตัดสินใจของเรา จะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร สิ่งที่เราส่วนใหญ่ทำได้ก็คือ “คาดหวัง” ให้ผลออกมาดี แต่ทุกครั้งที่ผลออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้เราก็มักจะจมอยู่กับความเสียใจ วนเวียนไปเป็นเวลานาน จนมักจมอยู่กับความคิดที่ว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น..” หรือ “ถ้ารู้อย่างนี้..” จนเราลืมคิดไปว่า ณ เวลานั้นเราก็ยังมีทางที่จะเลือกได้อยู่ดี เหมือนกับประโยคน้ำครึ่งแก้วที่หลายคนคุ้นเคย.. ..”คุณเห็นน้ำในแก้วหายไปครึ่งหนึ่ง หรือเห็นน้ำในแก้วเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว” คำถามนี้ไม่มีถูกผิด…

The Last Lecture

เลกเชอร์ครั้งสุดท้ายที่สร้าวแรงบันดาลใจแก่คนนับล้านทั่วโลก สมมติว่าถ้าคุณตรวจพบว่าคุณเป็นโรคมะเร็งในระยะลุกลามและกำลังจะตายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คุณจะทำอย่างไร?และถ้าคุณเองมีลูกเล็กๆที่แสนจะน่ารัก 3 คนในขณะนั้นล่ะ คุณจะทิ้งอะไรไว้ให้เค้า? หลายคนอาจจะคิดหาทางทิ้งมรกดที่เป็นทรัพย์สินเงินทองไว้ให้ครอบครัวมากที่สุด เพราะเมื่อตัวเองจากไปแล้วพวกเค้าจะได้ลำบากน้อยที่สุดเมื่อไม่มีคุณ แต่ชายผู้นี้ แรนดี เพาซ์ ชายในวัยสี่สิบปลายๆที่มีชีวิตการทำงานที่ดีเป็นศาสตราจารย์ประจำในมหาวิทยาลัยชื่อดังในอเมริกา เลือกที่จะใช้เวลาช่างท้ายสุดของชีวิตไม่กี่เดือนกับการมุ่งมั่นตั้งใจขึ้นพูดปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยคาเนกี เมลอน เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตทิ้งไว้เป็นมรดกให้ลูกๆทั้ง 3 แล้วมันจะถึงลูกๆทั้งสามได้อย่างไรตรงนี้แหละที่น่าคิด แรนดี เพาซ์ มองว่าเค้าจะทำยังไงที่จะได้เหมือนอยู่สอนลูกๆเค้าไปจนโต จนพร้อมที่จะออกไปผจญชีวิตภายนอกเต็มตัวในวันข้างหน้าได้ นั่นก็คือการฝากความคิดและประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตทิ้งไว้ให้กับโลก เพื่อให้โลกนี้ส่งต่อให้ลูกๆเค้าทั้ง 3 คน เพราะการพูดครั้งนี้ได้พูดต่อหน้าคนหลายร้อยจนถึงพันคน และยังมีการถ่ายเก็บบันทึกทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานให้ลูกค้าได้ทบทวนดูทุกครั้งเมื่อคิดถึงพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว เค้าตั้งใจให้ลูกๆเค้ารู้สึกว่าพ่อของเค้านั้นพิเศษแค่ไหนและยิ่งใหญ่เพียงใด เรื่องที่เป็นหัวข้อในการพูดครั้งสุดท้ายของเค้าคือการใช้ชีวิตตามความฝัน แรนดี…