Seamless Marketing Communication สื่อสารการตลาดแบบไร้รอยต่อ

สรุปหนังสือ Seamless Marketing Communication สื่อสารการตลาดแบบไร้รอยต่อ ของคุณบี สโรจ เลาหศิริ หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของการตลาดที่เน้นการสื่อสารให้เข้ากับโลกสมัยใหม่ยุค Digital & Data บวกกับการเข้าใจ MarTech หรือ Marketing Technology ว่าเราจะเอามาประยุกต์ใช้กับการสื่อสารอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะโลกของ Marketing Communication หรือการสื่อสารการตลาดนั้นส่วนใหญ่ที่เห็นในบ้านเรายังคงใช้วิธีคิดแบบโลกเก่า คิดแบบ 1 for all คิดแบบ Mass Marketing Communication…

Marketing Insight From A to Z เจาะลึกการตลาด จาก A ถึง Z โดย Philip Kotler

สรุปหนังสือ เจาะลึกการตลาด จาก A ถึง Z หรือ Marketing Insight From A to Z ของ Philip Kotler เล่มนี้แม้จะเขียนขึ้นมาตั้งแต่ปี 2004 แต่เชื่อมั้ยครับว่าผมเพิ่งอ่านจบเมื่อปลายปี 2019 นี้เอง และเนื้อหาส่วนใหญ่ก็ยังสดใหม่หรือบอกได้ว่าเป็นความรู้ด้านการตลาดที่อมตะ เพราะแม้จะผ่านมานานถึง 15 ปีแล้วก็ยังมีอะไรให้นักการตลาดอย่างเราได้เก็บเกี่ยวอีกเยอะเลย เพราะอะไรที่เป็นแก่นนั้นไม่มีวันเก่า เพราะเรามักจะหลงลืมกับสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากกันประจำโดยไม่รู้ตัวครับ ที่สำคัญหนังสือเล่มนี้อ่านเข้าใจง่ายมาก เพราะถูกแบ่งออกมาเป็น 80…

THIS IS MARKETING สร้างแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเอาใจทุกคน

สรุปหนังสือ This is Marketing ของ Seth Godin เล่มนี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งคัมภีร์สำคัญที่นักการตลาดทุกคนควรได้อ่าน และควรต้องมีติดบ้านหรือติดโต๊ะทำงานไว้ครับ เพราะการตลาดหรือการสร้างแบรนด์ที่เคยถูกสอนกันมาว่าทั้งยุ่งยากและซับซ้อน เต็มไปด้วยคำศัพท์มากมาย แต่แท้จริงแล้วหัวใจของมันกลับเรียบง่ายมาก เมื่อได้ผู้ที่มีประสบการณ์ระดับโลกอย่าง Seth Godin มาเล่าให้ฟังแบบชัดๆ ว่า ไอ้ที่เรียกกันว่าการตลาดหรือ Marketing หรือ Branding น่ะ แท้จริงแล้วมันแค่นี้เอง แต่แค่นี้ของเขาก็ไม่ได้หมายความว่าอ่านจบแล้วทำตามนี้จะรอดกันได้ทุกแบรนด์ไป เพราะหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีอยู่แค่เรื่องเดียว นั่นก็คือ… แบรนด์ที่ดีไม่จำเป็นต้องเอาใจทุกคนครับ จากประสบการณ์ตรงที่ผมเคยดูแลมาหลายแบรนด์ก็พบเหมือนที่ Seth…

Propaganda โฆษณาชวนเชื่อ

สรุปอย่างย่อ นี่คือหนังสือที่สอนเรื่องการ PR ชั้นดี ที่เผยเบื้องหลังของสิ่งต่างๆรอบตัวที่เรามองข้ามมาตลอด ให้เห็นความเชื่อมโยงที่จริงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าลองคิดตามดูจะพบว่ามันจริงซะจริงจนไม่รู้จะว่ายังไง เช่น การจะทำให้สินค้าที่ผ่านการออกแบบมีค่าในสายตาผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น ก็จะไม่ใช้การโฆษณาตรงๆ แต่จะใช้การสร้างกระแสให้เห็นคุณค่าของการศิลปะ อาจจะผ่านหอศิลป์ต่างๆมากมาย เพื่อให้คนยอมรับในคุณค่าของการออกแบบมากขึ้น แม้หนังสือเล่มนี้จะอ่านแล้วไม่สมูทเท่าไหร่นักในความคิดผม แต่ผมว่าเนื้อหาในเล่มมีประเด็นเด็ดๆที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนไม่น้อยเลยครับ ดังนั้นถ้าใครทำงานการตลาด ทำงานด้านการขาย หรือทำงานประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะแค่อยากรู้เท่าทันว่าสารที่เราเห็นผ่านสื่อรอบตัวนั้น แท้จริงแล้วเค้ากำลังต้องการอะไรจากเรากันแน่ เพราะการโฆษณาชวนเชื่อคือการไม่บอกตรงๆว่าอยากให้เราทำอะไร แต่เป็นการพูดอ้อมๆหรือสะกิดเบาๆให้เรารู้เองว่าเราควรทำหรือคิดอย่างไร สรุปอย่างยาว ผมขอหยิบบางส่วนในเล่มมาเล่าให้ฟังเพื่อเรียกน้ำย่อยให้คุณไปหามาอ่านเองแบบเต็มๆที่งานหนังสือที่กำลังจะมาถึงสิ้นเดือนนี้ หรือลองไปหาดูตามร้านหนังสือใกล้บ้านนะครับ ป้อนเรื่องให้คนต้องคิด ทำให้คนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่อยากให้คิด อย่างการที่สื่อต่างๆพยายามป้อนข่าวโน่นนี่นั่นใส่หัวเราตลอดเวลา บางทีเค้าก็ไม่ได้อยากให้เราใส่ใจเรื่องนั้นหรอก แต่เค้าแค่ไม่อยากให้เรามีเวลาว่างไปใส่ใจเรื่องอื่นที่เค้าไม่อยากให้เราใส่ใจ…

The Content Revolution, คอนเทนต์ปัง ยังไงก็โดน!

เมื่ออ่านจบแล้วสรุปในหนึ่งประโยคได้ว่า “เลิกแทรกแซง แต่เร่งส่งเสริม” การโฆษณาตลอดหลายสิบหรือร้อยปีที่ผ่านมาเอาแต่ “แทรงแซง” หรือขัดจังหวะคนมาตลอด แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นัก เช่น โฆษณาที่บังคับก่อนเราจะดูยูทูปโดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเราหรือความสนใจของเราเลย หรือ โฆษณาตามทีวีที่เราคุ้นเคยกัน ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับเราเท่าไหร่นัก ยิ่งเป็นในยุคดิจิทัลมากขึ้น มีเสียงรบกวนมากมายจากโฆษณาในแต่ละวัน จากข้อมูลรีเสริชที่เคยอ่านล่าสุดบอกว่า เราเห็นโฆษณามากกว่า 5,000 ชิ้นในแต่ละวัน แต่ทำไมเรากลับจำมันได้ไม่ถึง 1% เลยล่ะ ก็เพราะโฆษณาส่วนใหญ่ที่เราเห็นยังคงเน้นที่การ “แทรกแซง” ชีวิตเราเสมอ แล้วโฆษณาในยุคนี้ที่บอกว่าเป็น content marketing ล่ะต่างกันยังไง? ต่างกันครับ ตรงที่การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งจะเน้นการ…

โฆษณาฆ่าไม่ตาย Advertising Transformed

เขียนโดย Fons Van Dyck นักโฆษณาและผู้ก่อตั้ง Think BBDO ในกรุงบรัสเซลส์ และได้รับเลือกให้เป็น “สุดยอดนักการตลาด” โดยชมรมการตลาดเบลเยียมด้วย หนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกในช่วงปี 2014 น่าจะเป็นช่วงที่โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ platform อื่นๆกำลังบูมสุดขีด บอกถึงแนวทางการปรับตัวของโฆษณาและการตลาดให้กับบรรดานักการตลาดและคนโฆษณาทั้งหลาย แต่ผมว่าเทไปทางนักการตลาดมากกว่านะ ระหว่างที่อ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้เขียนกำลังพยายามโน้มน้าวให้นักการตลาดหรือบรรดาลูกค้าที่เป็นแบรนด์ส่วนใหญ่เชื่อว่า “โฆษณาแบบดั้งเดิม” (ผมขอใช้คำนี้แล้วกันที่หมายถึง TVC, Print และ Radio) จะไม่ตายและไม่หายไปไหน และที่สำคัญกลับยิ่งเป็นสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ทั้งหลายผ่านพ้นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจไปได้แบบเหนือคู่แข่งอีกด้วย ผู้เขียนบอกว่าสาเหตุที่คนทุกวันนี้ปฏิเสธโฆษณากันมากขึ้น…

ขาย 100 คน ซื้อ 99 คน

แม้ไม่ใช่นักขายโดยอาชีพ แต่คุณรู้มั้ยครับว่าเราทุกคนก็ล้วนเป็นนักขายโดยธรรมชาติ เพราะการซื้อขายคือการแลกเปลี่ยนให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการกันมาแต่เกิด เช่น เด็กทารกต้องขายเสียงร้องให้เพื่อได้รับน้ำนมจากแม่ โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มต้องขายการทำตัวดีเพื่อให้พ่อแม่ชื่นชมหรือได้รับขนม โตมาอีกนิดก็เริ่มจะขายคำหวานเพื่อให้ได้รับความรักความสนใจจากเพศตรงข้าม โตขึ้นมาก็ต้องขายความสามารถเพื่อแลกเงิน หรือบางคนก็เปิดธุรกิจค้าขายตรงๆไปก็มี นี่แหละครับทำไมผมถึงบอกว่ามนุษย์เราล้วนเป็นนักขายมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นผมจึงกล้าบอกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เหมาะกับแค่คนที่มีอาชีพเป็นนักขายหรือ Sale เท่านั้น แต่เหมาะกับทุกคนต่างหาก ว่าแต่ อะกิระ คะกะตะ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นใคร… …ตามประวัติท้ายเล่มบอกว่าเป็นชายที่ได้รับการขนานนามในญี่ปุ่นว่าเป็น “เทพเจ้าการขาย” มีเปอร์เซ็นต์การปิดการขายสำเร็จอยู่ที่ 99% ฟังดูเหมือนโม้แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเรื่องจริงมั้ย แต่ผมคิดว่าก็น่าจะสูงมากๆจนทำให้ชาวบ้านที่ญี่ปุ่นให้ฉายาเค้าแบบนั้นนั่นแหละครับ ใจความสำคัญของการขายให้สำเร็จจากหนังสือเล่มนี้ผมว่ามีอยู่แค่ 3 ข้อ 1.คุณต้องเข้าใจคน… หมายถึงคุณต้องเข้าใจในธรรมชาติของความเป็น “คน”…

ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น แค่หยิบเรื่องมาคุยเล่น 30 วินาที

หนังสือว่าด้วยศาสตร์แห่งการคุยเล่นที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น การคุยเล่นที่บางคนอาจจะเห็นว่าไร้สาระนั้น จะรู้มั้ยว่าความไร้สาระนั่นแหละคือแก่นสารของชีวิตเรา คนที่คุยเล่นได้เก่งคือคนที่มีทักษะในการสื่อสารได้ดี และก็เป็นคนที่ใครๆก็รักและชื่นชอบ ถ้าเราสังเกตุจากสิ่งรอบตัวในชีวิต เราจะพบเจอแต่เรื่องราวไร้สาระที่กลายมาเป็นสาระหลักในชีวิตเรามากขึ้นทุกวัน การพูดคุยคือส่วนหนึ่งในการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนที่พูดคุยเก่งก็มีแนวโน้มจะเติบโตในหน้าที่การงานได้ดี หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านง่ายๆ และเหมาะจะเอามาทดลองใช้ในชีวิตประจำวันดู แม้แต่การสัมภาษณ์งาน ก็ยังแฝงการคุยเล่นที่ไร้สาระ เพื่อดูว่าคุณเป็นคนรับมือกับเรื่องเล่านี้ยังไงเลย เรามาหัดคุยเล่นกันวันละ30วินาทีกันเถอะครับ อ่านเมื่อปี 2016

The Dentsu Way

หนังสือเล่มนี้ผมอ่านเมื่อปี 2016 จำได้ว่าเป็นหนังสือที่ว่าด้วยวิธีคิดแบบ Dentsu ว่าหนึ่งในเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ระดับโลกเค้ามีหลักการคิดยังไง เท่าที่จำได้ถึงตอนนี้คือไอ้หลักการคิดแบบ ZMOT ของ Google นั้นถูกเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปี 2010 แล้ว หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยวิธีการคิดแบบ cross communication หรือโมเดล AISAS ที่เข้ามาแทนที่โมเดลการสื่อสารแบบเก่าๆอย่าง AIDA AIDA ย่อมาจาก Aware > Interest > Desire > Action จะเห็นว่าเป็นโมเดลการสื่อสารแบบเดิมที่เน้นส่งโฆษณายัดเข้าตาสะกดจิตให้คนจำจนออกไปซื้อ ส่วนโมเดลของ…

กลยุทธ์จุดกระแส The Tipping Point

จะบอกว่าเป็นหนังสือที่ค่อนข้างเก่าพอควรก็ว่าได้ แต่ด้วยจากผมเพิ่งหัดอ่านหนังสือได้ไม่นานเลยให้ใหม่สำหรับผม หนังสือตามสไตล์ของ Malcolm Gladwell ที่เล่าเรื่องของการตลาด หรือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ที่ทำอย่างไรถึงจะจุดกระแสอะไรบางอย่างขึ้นมา และอะไรบางอย่างที่เป็นกระแสขึ้นมานั้น เป็นได้ด้วยอะไร การจุดกระแส และทำให้คนติดหนึบกับอะไรบางอย่างนั้น ในหนังสือบอกว่า การจุดกระแสประกอบด้วยคนสามคน คือ ผู้รู้(Maven)ผู้เชื่อมโยง(Connector)และนักขาย รวมถึงบริบทหรือสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ก็มีผลอย่างมาก เพราะมนุษย์เราไม่ได้เป็นปัจเจก หรือแน่วแน่ในตัวเองอย่างแท้จริง แต่เป็นไปตามสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยไม่รู้ตัวเป็นประจำ 3 คน และ 1 สถานการณ์ ทำให้เกิดการจุดกระแสขึ้นมาได้…