สรุปรีวิวหนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น ฮอนดะ เคน ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องทำอะไร

สรุปรีวิวหนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น เป็นหนังสือที่สอนความคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเขาคิดและมีจุดร่วมอย่างไรบ้าง หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนในสิ่งที่เป็นนามธรรมเกินไป แต่สอนในสิ่งที่ส่วนตัวผมเองก็พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ต่างจากหนังสือเล่มนี้เท่าไหร่เลย

การจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ หลายคนอาจฟังดูเป็นเรื่องยากเกินไป เพราะในชีวิตจริงส่วนใหญ่เราเห็นน้อยคนมากที่จะคู่ควบกับคำว่าประสบความสำเร็จ

แต่ในความเป็นจริงแล้วเราลืมแยกให้ออกว่า การประสบความสำเร็จ กับการมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักนั้นเป็นคนละสิ่งกัน แม้การมีชื่อเสียงโด่งดังนั้นมาจากการประสบความสำเร็จได้ในระดับที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่ส่วนตัวผมอยากบอกให้รู้ว่ามีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยที่ไม่ได้โด่งดัง หรือบางทีพวกเขาก็ไม่ได้อยากจะโด่งดังอยู่ในสปอร์ตไลท์เลย

ผมเคยคุยกับพี่คนหนึ่งที่ผมคิดว่าเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จได้เต็มปาก ผมเลยถามพี่คนนั้นว่า “แค่ไหนคือประสบความสำเร็จ?” เขาบอกผมว่า “แค่ได้ใช้ชีวิตตามใจคิด” ผมเลยถามกลับว่า “ถ้าแบบนี้ผมก็ประสบความสำเร็จแล้วซิ เพราะผมได้กินของที่อยากกิน ได้มีเวลาชิลกินกาแฟอ่านหนังสือทุกเช้า ได้ทำงานที่อยากทำ ได้เลือกลูกค้าที่อยากทำด้วย มีเงินพอปิดบ้านได้แต่ยังเก็บเงินสดไว้ ได้เริ่มเรียนรู้การลงทุน ได้ทำอะไรๆ หลายๆ อย่างที่อยากทำ”

พี่คนนั้นบอกว่า “ใช่ แบบนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าหนุ่ยได้ใช้ชีวิตอย่างที่หนุ่ยคิดไว้”

ส่วนหนึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้ควบคู่กันว่า ถ้าเราตั้งเป้าในชีวิตไม่สูงเกินไป แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งให้ต่ำกว่ามาตรฐานนะครับ เราก็สามารถนิยามตัวเองว่าเป็นคนประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

ถ้าเรามีความสุขกับบ้านหลังละไม่กี่ล้าน แทนที่จะเป็นหลังละหลายสิบล้าน ถ้าเรามีความสุขกับการมีรถยนต์ดีๆ ใช้สักคัน แทนที่จะเป็นรถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่มีจำกัดไม่กี่ร้อยคันบนโลกได้ ถ้าเรามีความสุขที่ได้ใส่ Apple Watch ราคาหมื่นนิดๆ แทนที่จะเป็นนาฬิกาหรูอย่าง pPhilippe Patek แค่นี้เราก็ประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่น

แต่ถ้าบางคนมีเป้าที่สูงอยากจะพิชิตก็ไม่ใช่เรื่องผิด ดังนั้นการจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งเป้าสิ่งที่ต้องพิชิตไว้ยากและเยอะแค่ไหน

ในขณะเดียวกันคนที่มีทุกสิ่งที่ผมพูดมาก็อาจจะยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เพราะถ้าเขามีร้อยล้านแล้วไปเทียบกับคนที่มีพันล้านด้วยความไม่พอใจ ก็จะรู้สึกว่าตัวเองขาดอีกมากมาย ทั้งที่ลืมไปว่าที่ตัวเองมีก็มากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสบายไม่ลำบากได้ตลอดชีวิตแล้ว

วันก่อนผมไปถ่ายรายการหนึ่งเกี่ยวกับการเรื่องเงินและการบริหารธุรกิจ ได้เจอกับโปรดิวเซอร์ผู้ควบคุมรายการเข้ามานั่งคุย เขาบอกว่าเขาอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตแบบพวกพี่ๆ ที่มาถ่ายรายการวันนี้จริงๆ ผมเลยถามเขาดูว่าต้องมีแค่ไหนถึงรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

น้องโปรดิวเซอร์รายการบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันครับ”

ผมเลยโยนตัวเลขคำถามเข้าไปว่า “ถ้ามีสักร้อยล้านถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จมั้ย? แล้วถ้าประสบความสำเร็จแล้วอยากจะทำอะไร?”

เขาบอกว่าก็น่าจะประสบความสำเร็จแล้วหละครับ ถ้าผมมีร้อยล้านตอนนี้เลยผมคงจะไม่ทำงาน ผมคงจะออกไปเที่ยว ไปถ่ายคลิป ทำช่องยูทูปแบบสนุกๆ ที่ตัวเองอยากทำ

ผมเลยกลับไปถามเพื่อนอีกคนที่มาถ่ายรายการด้วยกันว่า “คุณต่อ ตอนคุณมีร้อยล้านแรกคุณใช้ชีวิตยังไงหลังจากนั้น?”

เขาบอก “ผมก็ไม่ยังไง ผมก็ทำงานเหมือนเดิม เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน กินข้าว ผมอยากทำงาน ผมรู้สึกว่างานคือชีวิตของผม”

นี่แหละครับชีวิตคนที่น่าจะใช้คำว่าประสบความสำเร็จได้ มีร้อยล้านก็น่าจะประสบความสำเร็จกว่าคนมากมาย แม้จะไม่ได้รวยล้นฟ้า แต่อย่างน้อยก็สามารถนอนเฉยๆ อยู่บ้านดูทีวีได้ตลอดชีวิต

ดังนั้นจุดร่วมของคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ รอบตัวที่เจอ บวกกับหนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น เล่มนี้คือ คนที่ประสบความสำเร็จนั้นก็ยังคงใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวัน เพียงแต่เขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำมันทุกวันแต่แรก เรื่องเงินกลายเป็นเรื่องรอง เพราะเขาได้ค้นพบว่าถ้าเราทำผลงานได้ดี เดี๋ยวผลลัพธ์ดีๆ ก็จะตามมา

คนส่วนใหญ่คิดถึงผลลัพธ์ก่อนผลงาน ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทกับการสร้างผลงานที่ดีแบบโดดเด่นได้อย่างเต็มที่ แต่คนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ครับ ขอทำก่อนและขอทำให้เต็มที่ด้วย ขอให้ผลงานออกมาดีที่สุด ส่วนผลลัพธ์ที่จะได้รับตอนแทนนั้นไม่เป็นไร อย่างน้อยขอให้ไม่เข้าเนื้อ ไม่ทำให้ตัวเองลำบาก หรือต่อให้เข้าเนื้อในวันนี้พวกเขาก็จะมองว่าสิ่งที่เสียสละในวันนี้จะก่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้าอย่างแน่นอน

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ไม่คิดลับซับซ้อน แค่ทำในสิ่งที่เรียบง่าย ทำสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ นั่นคือการทำงานอย่างมีวินัย ทำงานด้วยใจอุตสาหะ ทำงานด้วยใจรัก และก็ทุ่มเทให้กับการสร้างผลงานอย่างเต็มที่

หรือจะบอกว่าเป็นพวกที่จ้างร้อยเล่นล้านก็ได้ครับ คนแบบนี้ต่อให้ตอนแรกแม้จะถูกจ้างแค่ร้อย แต่พอไปสักพักผลงานพิสูจน์ตัวตนก็ทำให้คนอยากจะแย่งกันจ้างให้เขาสร้างผลงานให้ แล้วจากร้อยก็จะกลายเป็นพัน หมื่น แสน ไปจนถึงล้าน และก็ค่อยๆ ขยับไปเรื่อยๆ เป็นหลายล้าน หรือหลายสิบหลายร้อยล้าน นั่นคือจุดที่ผลงานเขากลายเป็นแบรนด์ เป็นเครื่องยืนยันความน่าเชื่อถือว่าถ้าเลือกจ้างคนนี้แม้จะแพงกว่าล้านที่ต้องได้รับ แต่มั่นใจว่าจะไม่เสี่ยงกับการได้ผลงานแย่ๆ ออกมาแน่นอน

แต่การจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่แค่ทำผลงานให้ดีก่อนคาดหวังผลลัพธ์ แต่จะต้องมี 3 สิ่งนี้ที่จะทำให้การประสบความสำเร็จของเราเป็นรูปเป็นร่างได้เร็วขึ้น อย่างน้อยก็ไม่เสียเวลาเดินวนหลงทางครับ

3 สิ่งที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ

  1. วางแผนไปสู่ความสำเร็จ แน่นอนว่าแค่กำหนดเป้าหมายว่าอยากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างเดียวไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมันก็เป็นแค่ฝันกลางวัน แล้วจะเอาแต่มุมานะทำงานโดยไม่เงยหน้ามาดูก็ลำบาก เพราะมันจะทำให้เราเสียแรง เสียเวลา หรือเสียทรัพยากรที่มีจำกัดไปมากมาย การจะประสบความสำเร็จได้นอกจากตั้งเป้าหมายแล้วต้องมีการวางแผนด้วย วางแผนให้ชัดว่าจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจ ถ้าเปรียบกับการขับรถไปจุดหมายปลายทางสักที่ก็ต้องรู้ว่าถ้าเส้นทางมันไกล เราควรจะเลือกไปเส้นทางไหนที่เหมาะกับกำลังรถเรามากที่สุด และเราควรจะจอดแวะพักกินข้าว เข้าห้องน้ำ เติมน้ำมันตรงจุดไหนด้วยครับ
  2. ลงมือทำอย่างตั้งใจ แน่นอนว่าถ้ามีเป้าหมายแล้ววางแผนดีแต่ไม่ลงมือทำ ผลงานก็ไม่มีทางออก และผลลัพธ์ก็ไม่มีทางเกิด การลงมือทำตามแผนอย่างมีวินัยคือปัจจัยสำคัญของการจะประสบความสำเร็จ แม้ในการลงมือทำช่วงแรกจะไม่เห็นผลลัพธ์ออกมาดั่งใจหวัง ขั้นตอนนี้จึงต้องใช้น้ำอดน้ำทนอย่างมาก ต้องมองข้ามผลลัพธ์เบื้องหน้าระยะสั้นออกยังผลลัพธ์ที่จะได้รับในระยะยาวให้ได้ครับ เอาสิ่งนั้นเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจให้เราสามารถทำตามแผนทุกวันได้อย่างไม่ย่อท้อ ถ้าทำได้ตามนี้การจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็เกิดขึ้นได้ แนะนำให้อ่านหนังสือชื่อ Atomic Habits เพิ่มเติมครับ
  3. หาแรงสนับสนุน การจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายขึ้นหรือเร็วขึ้นนั้นถ้าได้แรงสนับสนุนก็จะช่วยได้เยอะมาก อย่าพยายามทำตัวเป็น Super Hero ประเภท One Man Show แต่จงทำตัวเป็นเหล่า Hero ใน Avengers ที่ต้องการคนอื่นมาช่วยสนับสนุนให้สามารถพิชิตเป้าหมายได้ หลายครั้งเราได้เจอปัญหาในชีวิตที่เราไม่เก่ง เราจึงต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วย นั่นก็คือแรงสนับสนุนในการพิชิตเป้าหาเพื่อให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นครับ

และสำคัญสุดอย่าลืมตั้งเป้าว่าเราอยากจะมีชีวิตแบบไหน วางแผนไว้ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างจึงจะมีชีวิตได้ตามนั้น จากนั้นก็ลงมือทำอย่างมุ่งมั้นตั้งใจในทุกวัน บวกกับอย่าลืมหาแรงสนับสนุนอยู่เสมอ แล้วการจะประสบความสำเร็จในชีวิตจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปและไม่ไกลเกินจริงครับ

อีกหนึ่งเคล็ดไม่ลับของคนที่ประสบความสำเร็จมักทำกัน คือฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่สักแต่ว่าฟังแบบผ่านๆ ไป หรือเอาแต่พูดขัดเพราะไม่อยากฟัง

Listen to Success

คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่ล้วนฟังมากกว่าพูด เพราะทุกครั้งที่ฟังคือการที่เราได้รับความรู้ แต่การพูดคือการแชร์สิ่งที่รู้ออกไป

แต่การฟังให้เป็นนั้นไม่ง่าย เพราะหลายครั้งสิ่งที่เราต้องฟังมักเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นเสียติ ตำหนิ เสียงวิจารณ์จากคนรอบตัวไปจนถึงคนที่เราไม่เคยรู้จัก

ดังนั้นเราจะฟังให้เป็น คัดสิ่งที่ไม่สำคัญออก แล้วเลือกรับเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตแทน

คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่แค่ฟังให้เป็น แต่ยังจะต้องฟังให้ออกด้วย ฟังให้ออกถึงวัตถุประสงค์เบื้องหลังของผู้พูดในแต่ละครั้ง ฟังให้ถึงสิ่งที่ผู้พูดไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ ว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เหมือนกับที่หนังสือแปดสิ่งที่คนเก่งมากๆ มีร่วมกันเขียนไว้ครับ

มองโลงบนความเป็นจริง งดอคติจิตปรุงแต่ง

เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก แต่มันก็จริงเพราะคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะมองสิ่งที่เห็นตามความเป็นจริง ไม่ได้มองด้วยจิตปรุงแต่งบ่อยเท่าคนทั่วไป เวลาเรามองเหตุการณ์หนึ่งเรามักจะใส่อารมณ์ร่วม ความรู้สึก และมุมมองส่วนตัวเข้าไป แต่กับคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเลือกมองอย่างที่เห็น มองอย่างที่มันเป็น ลดอคติส่วนตัวลงไปให้มากที่สุด เพื่อจะได้อ่านสถานการณ์ได้ออกว่าจะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าอย่างไรครับ

เรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือของพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์คือ การตัดหนี้ เจ้าของธุรกิจรายหนึ่งเป็นหนี้เยอะมาก เขาจึงเลือกขายทรัพย์สินออกไปเพื่อลบหนี้ให้หมด โดยไม่มองทรัพย์สินที่มีด้วยอคติว่าตอนซื้อเราซื้อมาเท่าไหร่ แล้วตอนขายเราขายได้แค่ไหน

หลายคนมองสิ่งที่เรามีด้วยอคติความเป็นเจ้าของ เรามักให้คุณค่ากับสิ่งนั้นมากเกินไปจนลืมไปว่าคนอื่นไม่ได้มองเหมือนเรา ครั้นเวลาผ่านไปมูลค่าของหลายๆ สิ่งก็ค่อยเสื่อมค่าไป ซึ่งถ้าเราปล่อยไว้นานเกินไปการจะตัดหนี้ทิ้งให้หัวโล่งก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เรียนงานได้เงิน

การอยากจะประสบความสำเร็จในวันหน้า บางครั้งมันหมายถึงว่าเรายอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานในวันนี้ และนั่นก็หมายถึงการยอมได้เงินเดือนที่น้อยกว่าคนอื่นนิด การทำงานหนักกว่าคนอื่นหน่อย (ความจริงก็ไม่หน่อยหรอกครับ) เช่น ถ้าคุณอยากจะทำร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จ การเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดคือการไปสมัครเป็นลูกจ้างร้านกาแฟอื่น เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าเขาทำธุรกิจกันอย่างไร หาให้เจอว่าจุดไหนที่เขาทำแล้วดีและคุณชอบ แล้วก็เอามาต่อยอดในแบบคุณ ส่วนถ้าคุณเจอจุดไหนเห็นแล้วว่าไม่เวิร์ค ก็เรียนรู้ไว้ว่าจะไม่ทำกับธุรกิจตัวเองครับ

ถ้ามองในแง่ดีคือคุณได้เรียนรู้งานที่ตัวเองอยากทำ แถมยังได้เงินเดือนไปพร้อมกันด้วย แต่นี่คือในกรณีที่เป้าหมายเราชัดเจนระดับหนึ่งว่าเราอยากประสบความสำเร็จในด้านไหน แล้วก็เลือกสถานที่ฝูมฝักให้ดี อยากบอกว่าในชีวิตจริงผมเคยทำแบบนี้มาก่อนครับ

ตอนนั้นผมเป็นครีเอทีฟในเอเจนซี่โฆษณา ผมรู้สึกว่าตัวผมเองจะไปต่อในสายนี้ได้ยาก เพราะเริ่มรู้สึกตันแล้ว (ตอนนั้นเป็น Creative Director ที่บริษัทหนึ่ง) ผมมองว่าเส้นทางที่ผมชอบและน่าจะไปต่อได้ไกลกว่านี้คือการย้ายไปทำในส่วนของการวางกลยุทธ์หรือ Strategic Planning ผมเลยขอย้ายงานในบริษัทไปทำในต่ำแหน่งนี้ดูก่อน จากนั้นก็พบว่าทำได้ แล้วก็เลยเริ่มย้ายไปสมัครบริษัทอื่น ที่แม้จะได้เงินเดือนลดลง 30% แต่พอมองย้อนกลับไปในวันนี้ก็คือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก

เพราะบริษัทเดิมที่ผมขอย้ายตำแหน่ง ยังคาดหวังให้ผมทำเนื้องานส่วน Creative ด้วย แต่ในบริษัทใหม่ไม่เคยรู้จักผมในมุมนั้นมาก่อน ผมจึงได้รับผิดชอบแต่เนื้องานของ Strategy ล้วนๆ ผมจึงมองว่านี่คือการได้เรียนรู้งานบวกกับได้เงินไปพร้อมกัน

ดังนั้นถ้าเงินเดือนน้อยในวันนี้ขอให้ถามตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่จะเป็นฐานที่ช่วยให้เรากระโดดเข้าใกล้สู่ความสำเร็จในวันหน้าหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขอให้อดทนในระยะสั้นไม่กี่ปีนี้ เพราะอีกหลายปีข้างหน้าคุณจะรู้สึกดีที่ตัดสินใจแบบนั้นครับ

สรุปรีวิวหนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เหมาะกับคนที่มีเป้าหมายในชีวิต แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ และเหมาะกับคนที่เริ่มสงสัยว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตรึยัง

หนังสือคิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น เล่มนี้จะทำให้คุณได้กลับมาทำความเข้าใจนิยามของคำว่าความสำเร็จ พร้อมกับเรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า ที่เป็นตัวแทนของคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีร่วมกันได้

ที่ผมพูดแบบนี้เพราะรอบตัวผมวันนี้มีคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย และเคล็ดลับที่พวกเขามีก็ไม่ได้ซับซ้อน แต่มันคือส่วนใหญ่ที่หนังสือคิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น เล่มนี้มีให้อ่าน จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วจะช่วยให้เร็วขึ้นมากครับ

อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือเล่มที่ 13 ของปี

สรุปรีวิวหนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น ฮอนดะ เคน ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องทำอะไร

คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น
สร้างความมั่นคั่งและความสุขให้กับชีวิต ด้วยวิธีคิดที่ส่งต่อกันมาในหมู่เศรษฐีชาวยิว
ฮอนดะ เคน เขียน
บรรเจิด ชวลิตเรืองฤทธิ์ แปล
สำนักพิมพ์ WE LEARN

อ่านสรุปหันงสือแนวนี้ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/category/japan/

สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ > https://click.accesstrade.in.th/go/HfslfByT

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/