สรุป The Disruptor อย่างย่อ นี่คือหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆกว่า 50 ตอนสั้นๆ ขนาดตอนละไม่เกิน 10 หน้า ที่สามารถเอาติดตัวไว้อ่านระหว่างเดินทางไปไหนมาไหน หรือแม้จะตอนที่กำลังขึ้นลิฟต์ รอกาแฟ หรือแม้แต่จะเข้าส้วมก็ยังได้ แล้วถึงแม้แต่ละตอนจะสั้นๆแต่สาระที่ได้นั้นกลับไม่ได้น้อยเหมือนอย่างจำนวนหน้าเลย

เพราะหลายเรื่องเป็นประสบการณ์ตรงของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO เครื่องสำอางศรีจันทร์ (ที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพิ่งรีแบรนด์ใหม่ทำเอาไม่น้อยหน้าแบรนด์ฝรั่งใดๆเลยด้วยซ้ำ) จากการบริหารธุรกิจของตัวเองที่เอามาถ่ายทอดให้เราได้เรียนรู้โดยที่เราไม่ต้องเจ็บตัวแบบเค้า

หรือบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ผมเคยอ่านเจอมาแล้ว แต่คุณรวิศก็ได้ให้มุมมองใหม่ที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน ทำให้ผมได้ขยายมุมมองและความรู้เดิมที่เคยมีในเรื่องเก่าให้กลายเป็นเรื่องใหม่ในแบบที่นึกไม่ถึง

และอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้หรืออ่านเจอมาก่อน แต่คุณรวิศน่าจะเป็นนักสะสมข้อมูลตัวยง เห็นท้ายเล่มบอกว่าสะสมหนังสือไว้กว่า 5,000 เล่ม (โอเคตอนนี้ผมยอมแพ้ครับ แต่ผมเชื่อว่าผมจะตามทันครับ) ก็เลยหยิบเอาบางเรื่องบางตอนที่น่าสนใจมาถ่ายทอดให้ฟังกัน และก็น่าสนใจจริงๆจนผมต้องพับมุมล่างของเล่มเก็บไว้เพื่อให้รู้ว่าหน้าไหนบ้างที่น่าสนใจเวลาหยิบมาดูอีกครั้งครับ

ดังนั้นหลังสือเล่มนี้เลยยากที่ผมจะสรุปได้เหมือนทุกที เพราะในแต่ละตอนของมันเองก็เป็นบทสรุปในตัวของมันอย่างดีอยู่แล้วครับ

ผมก็เลยขอหยิบบางบทที่เห็นว่าน่าสนใจจริงๆ และบางบทก็มีความเชื่อมโยงกันในเนื้อหา เอามาเป็นบทสรุปอย่างยาวตามปกติที่ผมทำหลังอ่านจบแล้วกันนะครับ

หลายคนชอบบอกว่าการทำอะไรซ้ำๆซากๆหรือที่เรียกว่างานแบบ “Routine” นั้นน่าเบื่อ แต่คุณรู้มั้ยครับว่าคนที่ประสบความสำเร็จจนโด่งดังระดับโลกส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนแต่ทำอะไรซ้ำๆซากๆ หรือที่เราเรียกว่า “Routine” นี่แหละครับ

Michael Phelps คุณคงคุ้นชื่อชายผู้นี้ดีใช่มั้ยครับ เค้าเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่ทำสถิติได้เหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกมากที่สุดในโลก

รู้มั้ยครับว่าที่เค้าเก่งขนาดนี้ได้ก็ไม่ใช่ด้วยการทำอะไรใหม่ๆที่หวือหวา แต่เป็นการฝึกซ้อมตามตารางเวลาแบบเดิมๆในทุกๆวัน ถ้าคุณว่างานที่คุณทำนั้น “Routine” แล้ว เทียบกับ Phelps ดูแล้วจะรู้ว่ากระจ้อยร่อยมากเลยครับ

แล้วก็ด้วยการทำอะไรแบบ “Routine” นี่แหละครับที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ หรือจะบอกว่า Routine is The Road to Success ก็ได้ครับ

เพราะการจะทำอะไรให้เชี่ยวชาญ หรือเก่งกาจจนยากที่ใครจะเทียบเคียงนั้น คือการทำซ้ำจนสมองและร่างกายจดจำได้ คือการพัฒนาไปทีละนิดสู่ความสุดยอดของชีวิตได้

ผมเคยดูสารคดีของสุดยอดนักทำซูชิมือหนึ่งของโลกอย่าง Jiro Dreams of Sushi รู้มั้ยครับว่าถ้าคุณจะเข้ามาทำงานที่ร้านเค้า คุณต้องเริ่มจากพื้นฐานที่สุดอย่างการหุงข้าวให้เป็นก่อน และไม่ใช่แค่หุงไม่กี่ครั้ง หรือไม่กี่เดือน แต่คุณต้องหุงข้าวเป็นปีๆจนกว่าจะได้ดีที่สุดจริงๆ

ดังนั้นกว่าจะได้แร่ปลา หรือปั้นข้าวในร้าน Jiro รับรองว่าต้องผ่านการฝึกฝนพื้นฐานซ้ำซากเป็นสิบปีอย่างน้อยครับ

เพราะผลลัพธ์จะดีได้อยู่ที่กระบวนการ ถ้าพื้นฐานไม่ดีแต่เริ่มแม้ตอนแรกดูเหมือนจะไปได้ไกลด้วยเทคนิค แต่ไม่นานหรอกคุณจะตันและต้องกลับมาหาพื้นฐานที่ดีอยู่ดี หรือดีไม่ดีต้องเริ่มใหม่หมดแต่แรกเลยครับ กลายเป็นว่าช้ากว่าชาวบ้านเสียอีก

รู้มั้ยครับว่าเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสมัยยังเป็นครีเอทีฟ เคยมีลูกน้องคนนึงถามผมว่า ทำยังไงให้คิดงานออกมาดี คิดงานออกมาโดน คิดมาออกมาคม ผมบอกลูกน้องคนนั้นว่า “เคล็ดลับนั้นง่ายมาก คืออย่าหยุดคิด”

เพราะถ้าเรายิ่งคิด เราก็จะยิ่งได้เจอไอเดียใหม่ๆที่เราไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน เราก็จะได้ข้ามไอเดียเก่าๆที่คนอื่นๆเคยคิดมาแล้ว และเราก็เจอไอเดียที่ดีที่สุดในเวลาที่มี ณ ตอนนั้น นั่นแหละครับเคล็ดลับเดียวที่ผมให้ลูกน้องทุกคน

ถ้ารู้ว่างานยังไม่ดีแล้วมีเวลา ก็จงทำต่อไปเรื่อยๆจนวินาทีสุดท้าย ถ้ารู้ว่า presentation ยังไม่ดีพอ ก็จงขัดเกลาใหม่ตั้งแต่ต้น เหมือนเวลาที่ผมทำ presentation ไปขายงาน ผมเป็นคนชอบขึ้นไฟล์ใหม่เรื่อยๆ แม้จะดูไฟล์ที่หนึ่ง สอง และสาม ไม่ค่อยต่างกันมาก แต่พอถึงไฟล์ที่สิบไปแล้ว แล้วพอย้อนกลับมาดูไฟล์ที่หนึ่งคุณจะพบว่ามันต่างกันมากทุกครั้ง

ก็เหมือนกันครับ เวลามีใครถามว่าทำไม presentation สวยและเล่าเรื่องได้ดีจัง เค้าไม่ค่อยรู้หรอกครับว่าผมทำมาประมาณ 20 เวอร์ชั่นไปแล้ว

ดังนั้นอย่าดูถูกคำว่า “Routine” ครับ

และการจะทำอะไรที่เป็น “Routine” แบบนี้ได้นั้นต้องใช้พลังใจมากกว่าพลังกายเยอะ คุณเคยได้ยินการทดลองมาร์ชแมลโลว์มั้ยครับ

ในการทดลองนั้นเค้าเอาขนมยั่วใจเด็กๆอย่างมาร์ชแมลโลว์ทิ้งไว้กลางห้อง โดยบอกว่า “เธอจะกินตอนนี้ก็ได้ แต่ถ้าเธออดทนจนครบ 5 นาที เธอจะได้มาร์ชแมลโลว์เพิ่มอีกหนึ่งชิ้น” จากนั้นนักทดลองก็เดินออกจากห้องไป ไปที่ห้องสังเกตการณ์ และก็พบว่าเด็กบางคนเท่านั้นที่อดทนรอเพื่อรับมาร์ชแมลโลว์อีกชิ้นได้

30 ปีผ่านไปการทดลองยังไม่สิ้นสุด เค้าตามมาดูชีวิตของเด็กแต่ละคนในวันนั้นที่กลายเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ และก็พบว่า เด็กที่มีอดกลั้นใจไม่กินมาร์ชแมลโลว์ทันทีมีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง

นั่นแหละครับพลังใจของความอดทนที่ทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ และการจะทำอะไรที่เป็น “Routine” น่าเบื่อมากๆได้ ก็ช่างต้องใช้พลังใจอย่างล้นเหลือซะเหลือเกิน

ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นไปวิ่งตอนเช้า
ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับตัวเองให้ต้องอ่านเพื่อเขียนบทความใส่เพจ

ดังนั้น “Routine” นั้นมีอะไรดีๆที่อยากให้คุณเข้าใจครับ

และก็มีเรื่องของการเห็นโอกาสในวิกฤตหนึ่งที่ผมชอบมาก คือเรื่องของร้านอาหารอันดับสองของโลกอย่าง Osteria Francescana

ในวันนั้นตอนผู้ช่วยเชฟกำลังจะเอาขนมหวานปิดท้ายไปเสริฟลูกค้าที่มากินเป็นคอร์ส ซึ่งเป็น Lemon Tart ที่เหลือแค่สองชิ้นสุดท้ายสำหรับลูกค้าสองคนสุดท้ายของวันนั้นพอดิบพอดี

แล้วก็ด้วยความบังเอิญที่ผู้ช่วยเชฟคนนั้นทำทาร์ตชิ้นนึงหล่นแตกลงบนจาน ทางผู้ช่วยเชฟคนนั้นเครียดมากจนรู้สึกอยากจะตายให้สิ้นเรื่องไป แต่เชฟกลับมองเห็นเป็นโอกาส โอกาสที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ

เค้ามองว่า Lemon Tart ที่หล่นแตกลงบนจานนั้นดูสวยดี แล้วก็เลยเอา Lemon Tart อีกชิ้นโยนให้หล่นแตกลงบนจานเหมือนกัน แล้วก็จัดแจงป้ายครีมและซอสที่ดูคล้ายกันไม่น่าเชื่อ จนกลายเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่ใครต่างก็อยากกินจนต้องจองคิวกันข้ามปีที่ชื่อว่า “Oops! I dropped Lemon Tart”

นี่แหละครับที่เค้าว่า คนฉลาดจะมองเห็นโอกาสในวิกฤต

หรือแบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Kenneth Cole เองก็เจอปัญหาว่าตัวเองไม่มีหน้าร้าน แต่อยากจะตั้งร้านขายบนรถหน้าตึกแห่งหนึ่ง แต่บังเอิญว่ารถที่จะจอดในเมืองนิวยอร์กได้นั้นมีแค่สองประเภท และหนึ่งในนั้นต้องเป็นรถถ่ายหนังเท่านั้นถึงจะยอดแช่ได้

เธอไม่ลังเลรีบเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Kenneth Cole Production เพื่อบอกตำรวจจราจรว่าตัวเองเป็นรถถ่ายหนัง ที่บังเอิญเอารองเท้ามาขายบนรถเท่านั้นเอง ในเมื่อขออนุญาตเป็นรถกองถ่าย ทางการก็ทำอะไรไม่ได้

นั่นคือจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Kenneth Cole ในวันนั้นจนโด่งดังระดับโลกอย่างทุกวันนี้

ในเล่มยังมีอีกหลายหัวข้อที่ผมชอบมากๆ อย่างการสอนให้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรฉลาด และเมื่อไหร่ที่ควรโง่ หรืออย่างคำที่ว่า “ไม่มีใครล้างรถเช่า” ดังนั้นจงทำให้พนักงานรู้สึกว่าเป็นเจ้าของบริษัทให้จงได้ หรือขอยกประโยคสุดท้ายที่ผมประทับใจสุดๆ คือ “ดอกไม้นั้นราคาถูก ส่วนการหย่าร้างราคาแพง”

อย่าละเลยที่จะให้ดอกไม้ภรรยาที่เป็นตัวแทนความใส่ใจ จนทำให้ถึงวันต้องหย่าร้างกันนะครับ เพราะถึงวันนั้นแล้วมันจะแพงกับทั้งค่าใช้จ่าย และโอกาสที่จะไม่หวนคืนกลับของคุณอีกเลย

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 10 ของปี 2019

THE DISRUPTOR
รวิศ หาญอุตสาหะ เขียน
สำนักพิมพ์ We Learn

20190220

อ่านสรุปหนังสือของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ เล่มอื่นต่อ > https://www.summaread.net/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%aa%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95/super-productive/

สนใจสั่งซื้อได้ที่ > https://www.naiin.com/product/detail/244380

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/