หนังสือ Insight Out เล่มนี้ถ้าให้สรุปสั้นๆ ก็คือไกด์ไลน์สำหรับคนที่อยากจะเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หรือ Entrepreneur นั่นเอง ดังนั้นถ้าใครสนใจอยากจะเริ่มธุรกิจของตัวเองแล้วอยากจะรู้ว่าการจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ผมว่าหนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้พร้อมครบจบเกือบทุกคำถามครับ ขนาดผมที่เริ่มออกมาทำอะไรของตัวเองได้ไม่นานก็ยังได้พบคำตอบมากมายที่เพิ่งได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ได้เยอะจริงๆ
ซึ่งถ้าให้สรุปหนังสือ Insight Out เล่มนี้ต่อสั้นๆ ก็คือการจะเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจที่ดีนั้นต้องมี 4 ส่วน
- จินตนาการ
- ความคิดสร้างสรรค์
- นวัตกรรม
- ความเป็นผู้ประกอบการ
ประโยคหนึ่งในเล่มที่ผมชอบมากตั้งแต่ตอนบทนำคือ
ผู้ประกอบการทำสิ่งที่เกินจะจินตนาการได้ ด้วยสิ่งต่างๆ ที่น้อยจนไม่น่าเป็นไปได้
Insight Out – Tina Seelig
ประโยคนี้ประโยคเดียวก็แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มได้สบายๆ เลยครับ เพราะสำหรับผมคนที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจได้นั้นคือคนที่ต้องปากกัดตีนถีบจริงๆ คนที่ต้องสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ และท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่งให้ตัวเองและลูกน้องอยู่รอดได้
ดังนั้นถ้าใครไม่พร้อมจะปากกัดตีนถีบสู้ให้ธุรกิจอยู่รอดจนทำกำไรได้ ผมคิดว่าคุณไม่พร้อมจะเป็นผู้ประกอบการเท่านั้นเองครับ
และการจะทำให้ผู้คนในสังคมของเราออกไปเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจได้มากขึ้นนั้นก็ต้องถูกปลูกฝังตั้งแต่ที่โรงเรียน แต่น่าเสียดายตรงที่ระบบการศึกษาของสังคมเราส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกฝังให้เด็กๆ เรียนจบแล้วพร้อมออกไปรับความเสี่ยงเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจสักเท่าไหร่
เพราะโรงเรียนมักสอนให้เราท่องจำแทนที่จะลงมือทำสร้างบางสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ให้เกิดขึ้นจริงขึ้นมา หรือโรงเรียนมักสอนเรื่องราวของวีรบุรุษให้เรารู้ แต่ไม่ได้สอนให้เรารู้ว่าถ้าเราอยากจะเป็นวีรบุรุษบ้างนั้นจะต้องเจออะไรบ้าง และโรงเรียนก็มักจะปลูกฝังให้เรามีคำตอบที่ดีที่สุดแค่หนึ่งคำตอบเท่านั้น ทั้งที่ในชีวิตจริงแล้วปัญหาต่างๆ นั้นมักมีมากกว่าหนึ่งคำตอบเป็นประจำ
เรื่องนี้ก็เหมือนกับ Lego ของเล่นตัวต่อชื่อดังที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก เดิมที Lego คือของเล่นที่ถูกนิยามว่าเป็นของเล่นที่กระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ตรงที่เราสามารถเอาบล็อคตัวต่อของ Lego ไปต่อเป็นอะไรก็ได้ แต่ทุกวันนี้ Lego กลับถูกจำกัดไว้แค่หนึ่งคำตอบตายตัว นั่นก็คือคำตอบที่หน้ากล่อง Lego ที่คุณซื้อมา จากของเล่นที่เคยเอาไว้สร้างจินตนาการ กลายเป็นถูกจำกับกรอบความคิดที่จะต่อด้วยภาพหน้ากล่องไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นผู้ประกอบการคือคนที่ต้องคิดออกไปให้ได้นอกกรอบปัญหาเดิมๆ เพื่อมองออกไปให้เห็นโอกาสใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่ และนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าวิสัยทัศน์หรือ Vision นั่นเองครับ
มีคนบอกว่าผู้ประกอบการคือคนที่ต้องมี Passion กับสิ่งที่ตัวเองทำมากๆ หรือเรามักเคยได้ยินมาว่าผู้ประกอบการคือคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำสิ่งนั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว Passion ของเราไม่ได้อยู่ดีๆ ก็มีขึ้นมา แต่ Passion ของผู้ประกอบการทุกคนล้วนเกิดจากการกระทำสั่งสมเป็น Experience ที่ทำให้ตัวเองยิ่งมี Passion กับสิ่งนั้นมากขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับปรากฏการณ์ Snowball effect นั่นเองครับ
เพราะถ้าใครบางคนไม่เคยได้ยินเสียงไวโอลิน ก็ไม่มีโอกาสที่เค้าจะหลงไหลในไวโอลินจนกลายเป็นนักไวโอลินระดับโลกได้
ถ้าใครบางคนไม่เคยเห็นลูกฟุตบอล ก็ไร้หนทางที่เค้าจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังของโลกได้
ดังนั้นจะเห็นว่ายิ่งเราใช้เวลากับสิ่งใดมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเกิด Passion กับสิ่งนั้นมากเท่านั้น (ไม่นับว่าคนที่ทนฝืนไปทำงานทุกวันเป็นเวลาหลายสิบปีนะครับ เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ได้ทำเพื่องาน แต่เป็นการทำเพื่อเงินทุกสิ้นเดือน นี่คือความต่างเล็กน้อยที่ส่งผลมหาศาล)
ก็เหมือนกับการที่ใครสักคนได้พบรักแท้ จะมีสักกี่คนที่ได้เจอใครคนเดียวและคนแรกในชีวิตแล้วก็รักกันสวีทหวานซึ้งไปทุกวันจนแก่เฒ่า การที่เราจะเจอรักแท้ได้ไม่ใช่นั่งอยู่บ้านแล้วรอให้เจ้าชายวิ่งเข้ามาในบ้าน แต่เราต้องออกไปนอกบ้านเพื่อพบเจอผู้คน ออกไปรู้จักความรัก ออกไปค้นหาให้เจอว่าเจ้าชายของเรานั้นเป็นแบบไหน(หรือเจ้าหญิงก็ตาม) ยิ่งคุณออกไปพบกับผู้คนมากเท่าไหร่(จะทางออนไลน์ก็ได้) คุณก็จะยิ่งมีโอากสได้พบรักที่ต้องการมากเท่านั้น
เรื่องนี้ถ้าให้เปรียบก็เหมือนกับอีกเรื่องหนึ่งที่ผมมักพูดบ่อยๆ ว่า ไม่มีใครไม่เคยซื้อหวยแล้วถูกหวยได้ ถ้าอยากถูกหวยก็ต้องขยันซื้อ จะถูกมากถูกน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีหวยอยู่ในมือกี่ใบ เรื่องนี้เปรียบเทียบได้กับการพยายามสร้างโอกาสให้โชคชะตาวิ่งเข้ามาหา เพราะทุกคนที่ดูเหมือนโชคดีและประสบความสำเร็จในชีวิตที่ผมรู้จัก ไม่เคยมีใครอยู่เฉยๆ แล้วชีวิตก็ดีได้เลยสักคนครับ
เพราะเบื้องหน้าที่เราเห็นเหมือนเขาสุขสบาย เบื้องหลังชีวิตเขาอาจจะโคตรวุ่นวายมากแต่ไม่เคยเอามาบอกใครก็ได้
และถ้าคุณรู้สึกตื่นเต้นที่เริ่มเป็นมือใหม่ครั้งแรก ก็ขอให้รู้เอาไว้ว่าทุกคนที่เป็นมืออาชีพและดูเก๋าเกมมากๆ เวลาขึ้นเวทีหรือทำอะไรสักอย่างในวันนี้นั้นก็ล้วนแต่เคยเป็นมือใหม่ที่ไม่ประสาเหมือนกันมาทุกคน ดังนั้นไม่ต้องกดดันกับความตื่นเต้นเวลาขึ้นเวทีหรือทำอะไรใหม่ เพราะเดี๋ยวสักพักคุณก็จะคุ้นชินกับมันเองจนกลายเป็นสามารถด้นสดได้สบาย
อีกแง่คิดที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ที่ผมชอบมากคือประโยชคที่บอกว่า
ชีวิตคือการวาดภาพโดยไม่ใช้ยางลบ
นั่นหมายความว่าต่อให้เกิดรอยเปื้อนหรือความผิดพลาดใดๆ ในชีวิต สิ่งที่คุณต้องทำก็มีแค่ยอมรับมันให้ได้ เพราะยังไงมันก็จะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต หรือถ้าจะให้ดีคือคุณต้องพยายามหาทางเปลี่ยนรอยเปื้อนที่ไม่ตั้งใจนั้นให้กลายเป็นจุดที่น่าสนใจและสวยงามจากการวาดภาพต่อเติมไปให้ได้ครับ
พูดถึงแง่มุมของการเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจมาก็เยอะแล้ว ลองมาดูแง่มุมที่น่าสนใจในการเอาไปใช้ทำธุรกิจจริงจากหนังสือเล่มนี้กันดูบ้าง
Pretotyping การสร้างตัวต้นแบบชนิดตั้งไข่
เพราะการจะเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจนั้นเราต้องรีบทำอะไรหลายอย่างด้วยความรวดเร็วให้พอเห็นความเป็นไปได้แม้จะไม่สมบูรณ์ขึ้นมาก่อน เพื่อทดสอบดูว่าสิ่งที่คิดไว้นั้นมีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน ทำเพื่อพอให้เข้าใจว่าถ้าลงทุนทำจริงแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่รอให้ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์แบบก่อนจึงค่อยเริ่มทำ แบบนี้เท่ากับว่าคุณไม่น่าใช่ผู้ประกอบการตัวจริงครับ
ซึ่งเทคนิคการสร้างตัวต้นแบบชนิดตั้งไข่ หรือ Pretotyping ในหนังสือเล่มนี้มี 3 หัวข้อ
- เทคนิคหุ่นกลชาวเติร์ก คือการลองเอาคนมาทำหน้าที่เป็นหุ่นยนต์ดูว่าถ้าเกิดสร้างหุ่นยนต์ต่างๆ ได้จริงแล้วมันจะคุ้มค่ามั้ยกับการลงทุนไป
- เทคนิคสร้างพิน็อกคิโอ คือการหาอะไรสักอย่างที่สามารถเป็นตัวแทนบางอย่างได้ ในหนังสือเล่มนี้ให้ตัวอย่างว่าถ้าเด็กวัยรุ่นมั่นใจว่าพร้อมจะมีลูกก็ลองให้พวกเขาดูแลไข่ไก่ด้วยการเอาติดตัวไปตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วันโดยห้ามให้เปลือกมีรอยร้าวหรือแตก เพราะการจะดูแลเด็กทารกเล็กๆ หนึ่งคนจริงๆ ก็ไม่ต่างกับการดูแลไข่ไก่ที่มีเปลือกที่บอบบางมองตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันนั่นเองครับ
- เทคนิคสร้างเปลือกนอก เช่น ลองทำโฆษณาขายสินค้าสักอย่างที่ไม่มีสินค้าพร้อมขายอยู่จริง เพื่อดูว่ามีความต้องการอยากซื้ออยู่มั้ย ทำให้นึกถึง Amazon สมัยแรกที่ทำเว็บไซต์ขายหนังสือแล้วอ้างว่ามีหนังสือมากมายเป็นล้านเล่ม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่มีเลยสักเล่ม แต่ Jeff Bezos ใช้วิธีเมื่อไหร่ได้คำสั่งซื้อมาก็ค่อยวิ่งไปซื้อหนังสือที่ร้านใกล้บ้านแล้วส่งให้ลูกค้าเท่านั้นเอง
เชื่อมั้ยครับว่าเทคนิคสร้างเปลือกนอกเป็นอะไรที่ผมลองใช้บ่อยมาก หลายครั้งเรามักคิดเยอะเกินไปและมัวแต่รอให้พร้อมนานไป และหลายครั้งที่ผมเริ่มทำอะไรบางอย่างผมก็ใช้เทคนิคนี้นี่แหละครับ คือลองโพสไปก่อน ลองทำโฆษณาไปก่อน แล้วดูซิว่ามีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่ามั้ยที่จะลงมือทำจริง ถ้าไม่คุ้มก็ค่อยคืนเงินลูกค้าเท่านั้นเอง
และสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการก็คือการ Focus หรือเลือกให้ความสนใจและเวลากับเฉพาะสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจจริงๆ เพราะในชีวิตคนเราเต็มไปเรื่องที่ไม่สำคัญมากมายแต่เราส่วนใหญ่กลับคิดว่ามันสำคัญ
ดังนั้นถ้าคุณสามารถโฟกัสกับงานที่สำคัญจริงๆ ได้ ธุรกิจของคุณก็จะสามารถเดินหน้าไปได้ไวมากๆ ครับ
ซึ่งวิธีการนี้ถูกนำมาใช้เป็นปกติในวงการเชฟชื่อดังที่ฝรั่งเศส ซึ่งก่อนจะลงมือทำอาหารอะไรสักอย่างทางเชฟจะจัดการบนโต๊ะในครัวตรงหน้าให้มีแต่วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับเมนูที่ตัวเองกำลังจะทำ ทั้งนี้เพื่อลดการสูญเสียสมาธิความสนใจออกไปจากสิ่งที่ไม่จำเป็น บอกตรงๆ จากประสบการณ์จริงเรื่องนี้สำคัญมากเลยนะครับ
ส่วนตัวผมในชีวิตจริงผมปิดการแจ้งเตือนจากมือถือทุกประเภท ยกเว้นแค่การรับสายโทรเข้าและอีเมลบางอีเมลเท่านั้น เพื่อให้ทุกวันผมสามารถโฟกัสกับงานที่สำคัญได้จริงๆ
อีกเทคนิคหนึ่งของหนังสือ insight Out เล่มนี้ที่ผมอ่านแล้วชอบมากก็คือการเปลี่ยนกรอบความคิดด้วยรหัสผ่าน นั่นก็คือการสะกดจิตตัวเองเล็กๆ ด้วยการตั้งพาสเวิร์ดในชีวิตประจำวันรอบตัวให้เป็นสิ่งที่เราต้องการจะทำ เช่น ถ้าเราต้องการย้ำตัวเองให้ออกกำลังกายบ่อยๆ เราอาจจะลองเปลี่ยนพาสเวิร์ดว่า “เราจะต้องออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน” จากนั้นนิสัยเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเพราะทุกครั้งที่เราต้องกรอกพาสเวิร์ดเราจะยิ่งเป็นการย้ำเตือนกับตัวเองให้ไม่ลืมสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้
แน่นอนว่าเทคนิคนี้ผมเอามาประยุกต์ใช้เลย ส่วนจะตั้งเป็นพาสเวิร์ดว่าอะไรอันนี้ผมบอกไม่ได้หรอกครับ อิอิ
และการพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจต้องทำให้ได้ แน่นอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน และเรื่องไม่สมหวังก็เป็นเรื่องปกติของชีวิตที่ต้องเจอ เหมือนกับที่บริษัทยาแห่งหนึ่งเจอคนแอบเอายาพิษร้ายแรงมาใส่ในขวดยาของตัวเองที่วางขายทั่วไป จนส่งผลให้มีคนกินโดยไม่รู้และเสียชีวิตจนกลายเป็นข่าวใหญ่
แต่ทางบริษัทนั้นก็เลือกที่จะรีบออกมาแก้ไขและขอโทษ จากนั้นก็รีบเก็บสินค้าทั้งหมดคืนทันที และภายในระยะเวลาไม่นานก็ออกมาพร้อมกับขวดยาแบบใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเดิมมาก ไม่มีใครสามารถเปิดขวดยาแล้วเอาอย่างอื่นใส่เข้าไปให้คนอื่นเผลอกินอีกได้ ทำให้บริษัทยาแห่งนี้นำหน้าคู่แข่งไปไกลจนทำให้ทุกคนต้องรีบปรับตัวตามจากมาตรฐานใหม่นี้ก็ว่าได้ครับ
แล้วคุณเคยได้ยินนิทานธุรกิจเรื่องนี้มั้ยครับ
มีเซลล์แมนสองคนจากบริษัทรองเท้าสองแห่งเข้าไปบุกเบิกทวีปแอฟริกา เซลล์แมนคนแรกเมื่อพบว่าชาวพื้นเมืองไม่มีใครใส่รองเท้าเลยก็ถอดใจกลับบ้านว่ารองเท้าไม่มีทางขายได้ที่นี่แน่ แต่เซลล์แมนคนที่สองกลับบอกไปยังบริษัทแม่ว่าให้รีบมาตั้งโรงงานในทันที เพราะที่นี่เต็มไปด้วยโอกาสมากมายที่คนยังไม่มีรองเท้าเลยสักคู่
เป็นอย่างไรครับกับการมองเรื่องเดียวกันแต่กลับเห็นโอกาสที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจที่ดีต้องมองทุกเรื่องให้เป็นบวก แม้กระทั่งเรื่องที่แย่ที่สุดก็ต้องมองให้เป็นบวกให้ได้นะครับ
และเรื่องสุดท้ายจริงๆ ของการสรุปหนังสือเล่มนี้ที่ผมอ่านเจอแล้วรู้สึกใช่ เพราะสมัยก่อนตอนขายไอเดียลูกค้าก็มักเอาไปใช้ตลอด นั่นก็คือการเว้นที่ว่างของความคิดเพื่อให้คนอื่นเข้ามาเติมเต็มเพื่อที่เขาจะได้รู้สึกเป็นเจ้าของร่วมไปด้วยครับ
ดังนั้นเวลาคุณขายความคิดอะไรก็ตามอย่าเอาไอเดียที่สมบูรณ์แบบใส่ไปทั้งหมด เพราะมันจะทำให้คนฟังหรือคนดูรู้สึกอึดอัด ลองเหลือไว้สัก 10-15% ให้คนฟังได้เติมความเป็นตัวเองเข้ามาหน่อย เพียงเท่านี้การขายไอเดียของคุณก็จะง่ายขึ้นมาก เพราะนั่นคือการทำให้ไอเดียของคุณกลายเป็นของลูกค้านั่นเอง (แต่ในความเป็นจริงนั่นก็คือไอเดียของคุณนั่นแหละ)
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 27 ของปี 2020
สรุปหนังสือ Insight Out
ความคิดคุณขายได้เท่าไหร่
เปลี่ยนไอเดียในหัวให้กลายเป็นธุรกิจ ด้วยหลักสูตรสุดฮิตของสแตนฟอร์ด
Tina Seelig เขียน
อัญชลี ชัยชนะวิจิตร แปล
สำนักพิมพ์ We Learn
20200716
อ่านสรุปหนังสือธุรกิจแนวนี้ต่อ > https://www.summaread.net/category/business/
สนใจสั่งซื้อ Insight Out > https://bit.ly/3fMCcL6