ฟายน์แมนคนนี้ คงไม่ต้องบอกว่าอัจฉริยะขนาดไหน เพราะมีรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เป็นเครื่องยืนยัน แต่ที่สำคัญยังเป็นอัจฉริยะในด้านการอำ และการกวนคนรอบตัวอีกด้วย

หนังสือเล่มนี้เลยไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีพลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัม ซึ่งนำไปสู่รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1965 ที่ทำให้เค้าโด่งดังซักเท่าไหร่ แต่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวในชีวิตของเค้า กับวีรกรรมสุดกวนที่อ่านไปยิ้มไป หัวเราะไป ได้ไม่น่าเชื่อ

สารภาพตรงๆผมอ่านแล้วขำในร้านกาแฟ และรถไฟฟ้าก็หลายครั้ง ส่วนครั้งไหนที่พอรู้ตัวหน่อยผมจะอมยิ้มเพราะกลั้นขำไว้ในใจ กลัวคนหาว่าผมบ้าที่อ่านหนังสือชีวประวัติของนักฟิสิกส์แล้วขำเหมือนอ่านขายหัวเราะ

ทั้งที่ฟายน์แมน ชายผู้นี่เป็นส่วนหนึ่งของทีมนักวิทยาศาสตร์สำคัญที่ทำให้อเมริกาสร้างระเบิดปรมาณูได้สำเร็จ จนพลิกเอาชนะสงครามโลกครั้งที่สองได้

ชายผู้เคยหลงไหลบราซิล จนต้องขอลางานประจำเป็นปี เพื่อไปสอนวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ให้กับเด็กๆชาวบราซิลหลายต่อหลายครั้ง

และก็กล้าพูดวิจารณ์ออกสื่อต่อหน้าผู้คนมากมายในวันส่งท้ายการสอนของเค้าว่า การศึกษาที่บราซิลนั้นล้มเหลวขนาดไหน เพราะที่นั่นสอนให้เด็กท่องจำตำรา โดยไม่สอนให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริงของการเรียน และยังไม่กระตุ้นให้เด็กเกิดคำถามกับตำราเรียน หรือผู้สอนอีกด้วย

อ่านดูแล้วคุ้นๆเหมือนการศึกษาบ้านเรายังไงยังงั้น ใครถามคือโง่ ใครเถียงคือไม่เคารพครู บ้าไปแล้ว

ในช่วงนึงของชีวิตเค้าทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ของบริษัทเล็กๆที่ก่อตั้งกับเพื่อน ที่ฟายน์แมนต้องคอยหาวิธีชุบพลาสติกด้วยวิธีและสารต่างๆมากมาย จนทำให้เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่คู่แข่งในลอนดอนพาลคิดว่า บริษัทที่ฟายน์แมนทำงานอยู่นั้นต้องมีทีมนักวิทยาศาสตร์มากมาย ร่วมสี่ห้าสิบคนแน่ๆ เพราะจากผลงานมากมายของบริษัทนี้

ทั้งที่ความจริงมีฟายน์แมนแค่คนเดียวที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ของบริษัท

อัจฉริยะด้านการชุบพลาสติกจริงๆ

สมัยเด็กฟายน์แมนคนนี้เรียนเก่งมาก มากจนเอาแต่คุยกับเพื่อนในห้องเรียน เพราะเนื้อหาที่ครูสอนเค้าเข้าใจหมดแล้ว

ครูดุเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล จนต้องใช้วิธีใหม่ เอาหนังสือแคลคูลัสชั้นสูงของนักศึกษาปีสาม ปีสี่ ให้เค้าที่เป็นเด็กมัธยมปลายอ่าน

จากนั้นฟายน์แมนคนนี้ก็ไม่เคยปริปากคุยกับเพื่อนในห้องเรียนอีกเลย เพราะมีอะไรให้เรียนรู้แล้ว

หรือวีรกรรมความกวนแบบสุดๆของฟายน์แมน

ครั้งนึงตอนเค้าทำงานอยู่ที่ค่ายทหาร ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการสร้างระเบิดปรมาณูให้ได้ ฟายน์แมนคนนี้พบว่ารั้วด้านหลังของค่ายถูกตัดเพื่อให้คนลอดผ่าน เพราะค่ายมีขนาดใหญ่มากและล้อมรั้วไว้รอบ และมีทางเข้าแค่ด้านเดียวคือด้านหน้า ทำให้คนที่อยู่ไกลจากทางเข้า เลือกใช้วิธีตัดรั้วแล้วมุดเข้ามาแทน

ฟายน์แมนคิดว่าถ้าเอาเรื่องไปบอกทหารยาม หรือเขียนจดหมายร้องเรียนไปตามขั้นตอน ก็จะไม่มีการแก้ไขใดๆเกิดขึ้น เพราะทหารจะปัดว่าไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นด้วยความกลัวเสียฟอร์ม

ฟายน์แมนเลยใช้วิธีแสบๆในการบอกให้รู้ว่ารั้วถูกตัด ด้วยการเดินออกทางประตูปกติ แล้วอ้อมมาเข้าทางรั้วที่ถูกตัด เค้าทำแบบนี้ซ้ำไปมาทั้งวัน จนทหารยามต้องแปลกใจว่าทำไมนายคนนี้ถึงเดินออกอย่างเดียว ไม่เห็นว่าเดินกลับเข้ามาเลย ทำเอาเกือบโดนจับขังคุกด้วยความปรารถนาดีแล้วฟายน์แมน

เพราะความตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร ทำให้นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นขอความเห็น

Niels Bohr นีลส์ บอร์ เรียกพบฟายน์แมนเป็นการส่วนตัวเพื่อขอความเห็นจากเค้า ที่ตอนนั้นยังเป็นนักฟิสิกส์โนเนมในวัยหนุ่ม เพราะเป็นคนเดียวที่กล้าแย้งความเห็นของ บอร์ อย่างตรงไปตรงมาตลอดเวลา อะไรที่ไม่เข้าท่าก็จะบอกว่าไม่เวิร์ค ผิดกับคนนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆที่เอาแต่พยักหน้าตาม แล้วพูดพร้อมเพรียงกันเสมอว่า “ครับ ดร. บอร์”

การมีความคิด ทำให้เรามีตัวตน กล้าแสดงออกความคิดตัวเองกันให้มากขึ้นนะครับ

ในช่วงระหว่างสงครามอีกเหมือนกัน ฟายน์แมนกลายเป็นนักสะเดาะตู้เซฟชื่อดัง

เพราะความเบื่อและว่างจากการสร้างระเบิดปรมาณู ทำให้เค้าฝึกสะเดาะตู้เซฟเป็นงานอดิเรก จนใครๆก็ขอให้เค้าช่วยเปิดตู้เซฟให้เวลาที่ต้องใช้เอกสารสำคัญแต่เจ้าตัวไม่อยู่

และฟายน์แมนเองพบว่า คนส่วนใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนรหัสตู้เซฟเลย และรหัสตั้งต้นของตู้เซฟส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกันหมด

ครั้งนึงเค้าแอบสะเดาะตู้เซฟของหัวหน้าทีมสร้างระเบิดปรมาณู เอาสูตรการสร้างระเบิดไปแอบไว้ที่อื่นเล่นๆ ผลคือจังหวะแรกหัวหน้าทีมหน้าซีดเพราะเอกสารที่ว่าหายไป เหลือแต่โน๊ตขำๆ จนตอนท้ายมารู้ว่าเป็นฟายน์แมนที่เอาไป เลยตบไหล่หัวเราะท้องแข็งกันเลย

ตู้เซฟต่อให้แข็งแรงแค่ไหน แต่ถ้าไม่เปลี่ยนรหัสให้ปลอดภัย ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีตู้เซฟเลยครับ

หลังสงครามเคยโดนจิตแพทย์วินิจฉัยว่า “บ้า”

ไม่ใช่ว่าฟายน์แมนบ้าจริงหรอกครับ แต่เป็นเพราะเค้าอยากกวนประสาทจิตแพทย์เล่นๆเท่านั้นเอง

บ้าจริงๆคนอะไร

ครั้งนึงเค้าเคยถามผู้หญิงที่เพิ่งกันใหม่ๆในผับว่า “ถ้าผมเลี้ยงเหล้าคุณ แล้วคุณจะนอนกับผมมั้ย” บ้ามั้ยล่ะครับ

แต่ที่พีคกลับมาคือผู้หญิงตอบตกลง แล้วทั้งคู่ก็…หนังสือไม่ได้บรรยายต่อนะ

ครั้งนึงฟายน์แมนเคยปฏิเสธงานที่หนึ่งเพราะให้เงินเดือนเค้าเยอะเกินไป บ้ามั้ยล่ะครับ

มหาลัยที่ใหม่ที่จะชวนให้ฟายน์แมนไปสอนนั้น เสนอให้เงินเดือนฟายน์แมนเพิ่มขึ้น 4 เท่า แต่ฟายน์แมนก็เลือกจะปฏิเสธไปด้วยเหตุผลบ้าๆว่า ถ้าเค้ารับงานนี้ที่ทำให้เค้ามีเงินเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ ชีวิตเค้าจะพังทลาย ทั้งชีวิตการงาน และชีวิตคู่ของเค้า

เพราะเงินที่มากขึ้นทำให้เค้าสนใจที่จะใช้เงินมากกว่าที่จะสอน หรือผลิตงานวิจัยสำคัญๆออกมาใหม่ จนทำให้งานสอนไม่ดีอย่างที่มหาลัยคาดหวัง แถมยังทำให้ชีวิตคู่พังเพราะเค้าคงไปมีเมียน้อยได้สบายๆด้วยรายได้ที่มากขึ้นด้วย

สรุปมหาลัยนั้นเลิกตอแยฟายน์แมนตลอดกาลเลย

นักฟิสิกส์โนเบลคนนี้เคยฝึกวาดภาพงานศิลปะ ไม่ใช่แค่วาดเล่นๆ แต่สามารถวาดจนจัดนิทรรศการจัดแสดงผลงานเดี่ยวของเค้าได้ และสามารถขายงานศิลปะได้ในราคาดีด้วย

หลังจากนั้นมีอีกหลายคนติดต่อมาให้เค้าวาดงานให้ แม้แต่เจ้าของอาบอบนวดที่ขอให้เค้าวาดภาพให้ จนทำให้เค้าสนิทกับเจ้าของ และก็กลายเป็นที่ประจำของฟายน์แมนให้ไปนั่งพักผ่อน หรือคิดงานฟิสิกส์หลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น

ฟายน์แมนคนนี้ชอบไปเที่ยวบาร์ท็อปเลส หรือบาร์ที่มีการเต้นโชว์เปิดอกมาก มากจนไปเป็นประจำและที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ภรรยาเค้าก็ไม่เคยว่าอะไร และออกจะเห็นด้วยที่ผู้ชายจะมีที่ประจำไปพักผ่อน

นั่งดูโชว์หน้าอกไป นั่งคิดงานฟิสิกส์ไป หรือไม่ก็นังสเก๊ตงานศิลปะไป อืมมมมมม อัจฉริยะจริงๆ

การกวนอีกเรื่องที่ต่อต้านระบบของเค้าคือ การที่เค้าเลือกที่จะไม่เบิกค่าใช้จ่ายกับทางการ เพราะทางการเรียกเก็บเอกสารใบเสร็จต่างๆมากมาย ทั้งที่บางทีค่าใช้จ่ายพวกนั้นไม่มีใบเสร็จได้ทุกครั้งไป

ฟายน์แมนเลยเลือกที่จะไม่เอาเงิน ยอมที่จะเสียเงินเพื่อกวนทางการ เวลาที่ทางการถามว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรมั้ยในการทำงาน หรือเดินทางไปบรรยาย ซึ่งฟายน์แมนจะตอบว่ามี แล้วจากนั้นคนของทางการก็จะขอใบเสร็จค่าใช้จ่าย แต่ฟายน์แมนจะตอบว่าไม่ให้

ยอมแก้เผ็ดระบบด้วยการไม่เอาเงินที่ตัวเองควรจะได้

อืม..ยอมใจความเป็นอัจฉริยะ

หรือที่พีคที่สุดคือ ฟายน์แมนคนนี้เคยคิดจะปฏิเสธไม่เอารางวัลโนเบล เพราะกลัวว่าชีวิตจะวุ่นวายไม่มีความเป็นส่วนตัวเหลือหลังจากนั้น

แม้แต่ในวันที่เค้าได้รับโทรศัพท์จากทีมงานที่จะมอบรางวัลโนเบลให้เค้า ที่โทรมาตอนตีสามเพื่อแจ้งข่าวว่าเค้าจะได้รับรางวัลโนเบล

รางวัลโนเบลที่ยิ่งใหญ่ของคนทำงานวิทยาศาสตร์ ที่จะได้รับการยอมรับระดับโลกว่ามีผลงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

ฟายน์แมนคนนี้รับสายแล้วบอกว่า “เออ แต่ตอนนี้ผมนอนอยู่ ทำไมไม่โทรมาหาผมตอนเช้าล่ะ” แล้วก็วางหูไป

ทำเอาปลายสายงงเป็นไก่ตาแตก เพราะปกติมีแต่คนจะดีใจที่ตัวเองได้รางวัล ฟายน์แมนคนนี้กลับเห็นว่าการนอนสำคัญกว่า

ถ้าไม่อัจฉริยะจริงทำแบบนี้ไม่ได้ซินะ

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ฟายน์แมนฝากไว้ทิ้งท้ายของหนังสือเล่มนี้คือ ข้อคิดและแนวทางการใช้ชีวิตของฟายน์แมน ทีอยากแบ่งปันให้คนอื่นคือ

“เพราะฉะนั้นผมอยากจะขอมอบบางอย่างให้กับพวกคุณ นั่นก็คือขอให้พวกคุณโชคดี ได้อยู่ในที่ที่พวกคุณจะมีอิสระในการคงไว้ซึ่งคุณธรรมและความซื่อสัตย์ ที่ที่คุณไม่ต้องรู้สึกว่าต้องพยายามทำอะไรเพื่อรักษาตำแหน่ง หรือเพื่อการสนับสนุนทางการเงิน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้พวกคุณต้องสูญเสียคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ขอให้คุณจงมีอิสระ”

ผมขอสรุปง่ายๆหลังจากที่ได้อ่านเล่มนี้จบแล้วคือ ฟายน์แมนขอให้เรามีความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา อย่าโอนอ่อนผ่อนตามหรือไม่ซื่อสัตย์กับความคิด และความรู้สึกของตัวเองครับ ถอดหน้ากากออกไป เหลือไว้แค่สิ่งสำคัญ

อัจฉริยะที่ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์คนนี้ มีเรื่องราวที่ไม่เคยได้รางวัลแต่ให้เรียนรู้และติดตามได้เยอะจริงๆครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 64 ของปี 2018

Surely you’re joking Mr.Feynman
ฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์
เรื่อง Richard P. Feynman
Ralph Leighton เขียน
นรา สุภัคโรจน์ แปล
สำนักพิมพ์ มติชน

20180519

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/