สรุปหนังสือ The Most Human Human หรือ ปัญญา มนุษย์ ประดิษฐ์ เล่มนี้ถ้าให้สรุปสั้นๆ นี่คือหนังสือที่เกี่ยวกับการทดสอบ Turing test เป็นหลัก ถ้าถามว่า Turing test คืออะไรก็สรุปให้สั้นๆ อีกได้ว่าเป็นการทดสอบที่เพื่อทดสอบว่าคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรมีความสามารถในการสื่อสารแบบไม่เห็นหน้าหรือแค่ผ่านตัวหนังสือใกล้เคียงกับคนจริงๆ จนคนที่เป็นกรรมการทดสอบไม่สามารถแยกออกได้หรือยัง
ส่วนคำว่า Turing test ถ้าใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง The Imitation Game ก็จะนึกออก หรือถ้าใครไม่เคยดูผมก็พอบอกว่าได้เขาคือบิดาผู้คิดค้นคอมพิวเตอร์เป็นคนแรกของโลกครับ
สรุปสั้นๆ ของภาพยนต์เรื่อง The Imitation Game คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายนาซีมีเครื่องมือสื่อสารเข้ารหัสที่ชื่อว่า Enigma ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษพยายามหาทางถอดรหัสเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ว่านี้ให้ได้
ตอนนั้นทางอังกฤษรวบรวมนักคณิตศาสตร์ระดับเทพที่สุดเท่าที่จะหาได้มาเพื่อทำการถอดรหัสที่ส่งออกมาจากฝ่ายนาซีทุกวัน แต่ Allan Turing คนนี้คิดต่าง เพราะเขาคิดว่าเราจะมามัวถอดรหัสเองไปทำไม ทำไมไม่สร้างเครื่องจักรที่จะถอดรหัสเครื่องจักรด้วยกันขึ้นมา ด้วยแนวคิดที่ว่าเราจะใช้เครื่องจักรเอาชนะเครื่องจักรครับ
และนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของการต่อยอดกลายมาเป็นคอมพิวเตอร์อย่างทุกวันนี้ โดยทาง Allan Turing คิดไปถึงกระทั่งว่าถ้าเครื่องจักรมีความคิดเป็นของตัวเองได้ ก็คงต้องมีการทดสอบเพื่อแยกแยะเครื่องจักรออกจากมนุษย์ หรืออีกแง่หนึ่งคือทดสอบว่าเครื่องจักรนั้นมีปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์แล้วจริงๆ เลยออกมาเป็นการทดสอบที่ว่าชื่อ Turing test
การทดสอบ Turing test คือการเปิดให้กรรมการที่เป็นมนุษย์ได้คุยกับสองฝ่ายผ่านตัวหนังสือทางหน้าจอ โดยฝ่ายหนึ่งเป็นคนจริงๆ ส่วนอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงเครื่องจักร หรือในวันนี้ก็คงเป็นโปรแกรม หรือจะเรียกว่า AI หรือ Chatbot ก็ได้ครับ
หลังจากคุยกันไปประมาณ 5 นาทีกรรมการที่เป็นมนุษย์ก็ต้องตอบว่าฝ่ายไหนน่าจะเป็นคน ฝ่ายไหนน่าจะเป็นเครื่องจักร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเครื่องจักรถูกตอบว่ามีความเป็นคนน้อยมาก แต่เมื่อไม่นานมานี้ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เครื่องจักรถูกให้คะแนนว่าคุยด้วยแล้วรู้สึกเป็นคนมากกว่าคนจริงๆ ที่คุยด้วยกันครับ
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้ใจความสำคัญไม่ใช่เรื่องของ AI หรือ Machine learning หรือระบบอัจฉริยะใดๆ แต่เป็นการเจาะลึกถึงการที่มนุษย์เริ่มถูกเข้ามาท้าทายโดย Machine ที่เป็น Chatbot ที่สามารถเข้าใจได้ว่ามนุษย์ตรงข้ามน่าจะชอบอย่างไร แล้วอะไรคือเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ด้วยกันนั่นเองครับ
ดังนั้นถ้าใครที่กำลังศึกษาเรื่องการทำ Chatbot แบบลึกๆ ในแง่เชิงปรัชญา ผมแนะนำหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับคุณไม่น้อย แต่ถ้าใครกำลังมองหาเรื่อง AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ผมคิดว่าเล่มนี้อาจไม่ตรงกับสิ่งที่คุณคาดหวังเท่าไหร่
ส่วนเนื้อหาภายในเล่มที่ผมคิดว่าน่าสนใจ จะขอหยิบมาเป็นข้อๆ ค่อยๆ เล่าสู่กันฟังไปนะครับ
Computer เมื่อก่อนคือชื่อตำแหน่งงานของคน ก่อนจะกลายมาเป็นเครื่องจักรอย่างทุกวันนี้
หนังสือเล่มนี้บอกให้รู้ว่าคำว่าคอมพิวเตอร์ที่เราพูดถึงแล้วรับรู้กันถ้วนหน้าว่าหมายถึงอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม หรือเหลือรูปกลายเป็นแค่โทรศัพท์มือถือแล้วก็ตาม แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเมื่อสมัยก่อนคำๆ นี้หมายถึงคนที่มีหน้าที่ต้องคอยคำนวนและวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงครับ
เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงภาพยนต์เรื่องนี้เลย Hidded Figures ที่ผู้หญิงผิวสีสามคนกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถส่งคนออกไปนอกอวกาศได้ในวันที่ยังแข่งกับรัสเซียครับ
ใครที่ไม่เคยดูภาพยนต์เรื่องนี้ผมแนะนำเลยว่าไม่ควรพลาด แล้วจะรู้ว่าผู้หญิงนี่แหละคืออัจฉริยะของโลกตัวจริงครับ
นัก Computer แต่เดิมเป็นผู้คำนวนการมาถึงของดาวหางแฮลลีย์ที่โด่งดัง แล้วก็ไปคำนวนโปรเจคแมนแฮตตัน หรือระเบิดปรมาณูนั่นเองครับ ดังนั้นคอมพิวเตอร์ในวันนั้นคือมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่คอยคิดคำนวนตัวเลขกันแทบหัวแตก และมนุษย์กลุ่มนั้นก็คือผู้หญิงทั้งนั้นเลยครับ
เมื่อลักษณะการพูดจะกลายเป็น New Password
หน้าที่ของพาสเวิร์ดหรือรหัสผ่านทั้งหลายคือมีไว้ให้เราสามารถยืนยันตัวตนได้นั่นเอง ไม่ว่าจะพาสเวิร์ดของบัตร ATM ที่บอกให้รู้ว่ามีเฉพาะเจ้าของบัตรที่รู้ตัวเลขนี้เท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณเอารหัสไปให้คนอื่นก็เท่ากับว่าคุณยินดีแบ่งปันตัวตนให้คนอื่นใช้บัตร ATM คุณได้นั่นเองครับ
จากนั้นพาสเวิร์ดก็พัฒนาไปเรื่อยๆ กลายเป็นตัวอักษรบ้าง กลายเป็นการสแกนนิ้วบ้าง ล่าสุดมาถึงการสแกนใบหน้าหรือที่เรียกว่า Face ID มาวันนี้วันที่เราต้องใส่หน้ากากออกจากบ้านกันเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นว่าพอต้องกลับมาใช้ใส่รหัสดูจะไม่สะดวกสบายสำหรับใครหลายคนเลยทีเดียวครับ
และอีกหน่อยลักษณะการพูดของเราก็จะสามารถเอามาใช้ยืนยันตัวตนได้ เพราะไม่ใช่แค่น้ำเสียงเท่านั้น แต่จังหวะในการพูดของมนุษย์เราแต่ละคนก็แอบมีลักษณะเล็กๆ ที่ไม่เหมือนกันครับ
ผมได้ยินมาที่ว่าประเทศจีนตอนนี้ช่วงที่ใครๆ ก็ต้องใส่หน้ากากเพื่อความปลอดภัย ระบบการสแกนใบหน้าเขาพัฒนาไปอีกขึ้นด้วยการที่ต่อให้คุณใส่หน้ากาก็ยังสามารถยืนยันตัวตนได้โดยไม่ต้องถอดหน้ากากออกมาให้เสี่ยง เพียงแค่คุณต้องพูดออกไปให้ AI รู้ว่าตัวตนที่มันเห็นผ่านกล้องและได้ยินผ่านไมค์โครโฟนอยู่นั้นคือตัวคุณจริงๆ ไม่ใช่ใครที่ไหนมาแอบปลอมเป็นคุณอีกต่อไป
Chatbot คือผลรวมของประสบการณ์มนุษย์นับล้าน แต่มนุษย์ล้านคนต่างมีประสบการณ์แค่หนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนกัน
นั่นคือความแตกต่างสำคัญที่เราสามารถรับรู้ได้เมื่อเราคุยกับ Bot เพราะ Bot จะถูกเทรนมาจาก Data ของผู้คนมากมายนับล้านเพื่อให้ Bot ฉลาดที่สุดในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ดังนั้นจุดแข็งของบทคือสามารถตอบคำถามทั่วไปและเฉพาะเจาะจงได้ดีถึงดีมาก แต่พอเมื่อถามถึงประสบการณ์ส่วนบุคคล Bot จะไม่สามารถตอบแบบเฉพาะเจาะจงได้เหมือนที่มนุษย์ ดังนั้นเราจะรู้ว่าเราคุยกับ Bot อยู่ก็ต่อเมื่อเรารู้สึกได้ว่าเราไม่ได้คุยกับคนหนึ่งคน แต่การคุยกับ Bot คือการคุยกับคนนับล้านคนผ่านคนๆ เดียวที่เป็น Bot ก็ว่าได้ครับ
และอีกลักษณะที่สำคัญของ Chatbot คือพวกมันสามารถคุยกับเราได้เรื่อยๆ ซึ่งนั่นจะผิดกับมนุษย์ตรงที่เรามีอะไรบางอย่างที่ต้องทำต่อไปเมื่อคุยเสร็จ ดังนั้นนี่ก็เป็นอีกจุดต่างสำคัญระหว่างมนุษย์กับ Chatbot ครับ
แต่ทำไม Call Center ถึงพยายามทำงานเป็น Bot
หนังสือเล่มนี้พูดถึงประเด็นนี้ได้น่าสนใจ เขาพูดถึงประสบการณ์เมื่อมีปัญหาอะไรสักอย่างแล้วต้องโทรหา Call Center แต่เมื่อโทรไปคุยด้วยกับรู้สึกว่าไม่ต่างจากคุยกับ Bot เพราะปลายสายมักจะถามคำตอบคำ ไม่มีการให้ความช่วยเหลือแบบเข้าอกเข้าใจมนุษย์ด้วยกัน แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือเมื่อเราถูกโอนสายไปเราก็ต้องไปคอยแนะนำตัวใหม่ บอกปัญหาใหม่ทุกอย่างเหมือนกับที่เพิ่งพูดมาก่อนหน้า ดังนั้นงานแบบ Call Center น่าจะเป็นอะไรที่จะถูกโอนย้ายไปให้ Bot ได้ง่ายที่สุดครับ
ล่าสุดธนาคารกรุงศรีบ้านเราก็มีการเอา Bot มาช่วยรับสายและแก้ปัญหาให้ลูกค้า ซึ่งบอกตรงๆ ว่าดีมากจนน่าจะทำให้ลูกค้าไม่อยากคุยกับ Call Center ที่เป็นมนุษย์แล้วถ้าไม่จำเป็นครับ
เพราะอาชีพงานในอนาคตน่าจะเหลือเป็นของคนที่สามารถทำงานได้ดีกว่าเครื่องจักร นั่นหมายความว่าเครื่องจักรถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนแรงงานที่ไม่จำเป็น และมนุษย์ที่ยังจำเป็นคือมนุษย์ที่สามารถทำในสิ่งที่เครื่องจักรทำไม่ได้
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราไปแข่งขันกับเครื่องจักรนะครับ แต่เราต้องรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งของมนุษย์เราที่มนุษย์ด้วยกันยังต้องการ แล้วเราก็ใช้เครื่องจักรที่มีให้เต็มความสามารถกว่าที่มนุษย์คนอื่นจะทำได้ครับ
เพราะอารมณ์มนุษย์ถูกมองว่าด้อยค่า เหตุผลนั้นเลิศกว่าเราจึงพยายามเป็น Bot
แต่วิธีการทำงานของ Call Center ที่เล่ามาก็ไม่ใช่ว่าผิด เพราะแต่เดิมสังคมมนุษย์เรานั้นตีตราการใช้อารมณ์ว่าไร้ค่า ดูไม่มีเหตุผล มนุษย์ที่ดีต้องไม่ใช้อารมณ์และรู้จักใช้เหตุผลให้ดีที่สุดครับ
แต่ในวันที่ Machine หรือ Bot สามารถใช้เหตุผลได้ดีกว่ามนุษย์เราอย่างที่เราไม่สามารถเทียบเท่าได้ เพราะพวกมันไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทำให้สามารถตัดสินใจทุกอย่างด้วยเหตุผลแบบไม่มีอารมณ์มาปนร้อยเปอร์เซนต์
ดังนั้นมนุษย์อาจต้องกลับมาให้ค่ากับการใช้อารมณ์ที่ชาญฉลาด เราจะต้องเริ่มลดค่าการใช้แต่เหตุผลโดยขาดความเข้าใจเข้าใจผู้คนด้วยกันไป คงถึงเวลาที่เราต้องกลับมา “นิยามความเป็นมนุษย์ใหม่” อีกครั้งครับ
มนุษย์ต้องฉีกตำรา หรือไม่ทำตาม Pattern
เพราะการทำตามตำรา ทำตามสูตรอะไรสักอย่างเป๊ะๆ นั่นคือความสามารถชั้นดีของ Machine ที่มนุษย์เราไม่สามารถเทียบเท่าได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการแข่งขันหมากฮอสโลก เมื่อบรรดาแชมป์โลกต่างก็มีสูตรการเดินเป็นของตัวเอง จนพัฒนาไปกลายเป็นสูตรการเดินที่ดีที่สุดในโลก ทำให้ใครสามารถเดินตามสูตรนี้ได้ก่อนคนนั้นก็จะชนะอย่างแน่นอน
แล้วนั่นก็ทำให้การแข่งหมากฮอสโลกน่าเบื่อขึ้นมาโดยพลัน เพราะเมื่อดูไปก็เจอแต่การเดินแบบเดิมๆ เพื่อหวังให้ชนะมากที่สุด ทางสมาคมหมากฮอสโลกเลยเพิ่มกติกาใหม่ ที่เป็นการเดินให้เมื่อถึงหมากตาที่ 3 (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ซึ่งเป็นการทำลายสูตรเดิมไปโดยสิ้นเชิง ทำให้นักหมากฮอสต้องสร้างสรรค์หมากใหม่ๆ ขึ้นมา ช่างเป็นการคิดกติกาที่น่าสนใจมากๆ ครับ
มนุษย์บางคนเริ่มดัดแปลงตัวเองให้เหนือมนุษย์
ตอนนี้เริ่มมีมนุษย์บางคนเพิ่มความสามารถใหม่ๆ จากที่ร่างกายเราไม่มีแต่กำเนิดเข้าไป มีบางคนฝังชิปพิเศษเข้าไปในร่างกายบวกกับอุปกรณ์ส่งคลื่นสัญญาณแบบ Sonar เพื่อจะได้รู้ว่ามีอะไรเข้ามาทางด้านหลังหรือในมุมอัปที่สายตามองไม่เห็นหรือเปล่า
จากการศัลยกรรมสู่การดัดแปลงร่างกาย สงสัยในเร็ววันนี้เราจะได้อยู่ใกล้กับมนุษย์ดัดแปลงจริงๆ แล้วซิครับ
Machine ไม่ได้เข้ามาแย่งงานเรา แต่เข้ามาทำให้เราต้องพัฒนาไปอีกขั้น
เราคงได้ยินหลายๆ ครั้งว่าบรรดาเครื่องจักรต่างๆ ไม่ว่าจะ AI หรืออะไรก็ตามล้วนเข้ามาแย่งงานเราไปหมด แต่ในความเป็นจริงแล้ว Machine ไม่ได้มาเพื่อแย่งงานเราไป แต่พวกมันเข้ามาเพื่อทำให้เราต้องพัฒนาไปสู่การทำงานที่มีความยากขึ้น หรือท้าทายมากขึ้น ดังนั้นถ้าเรายังทำงานแบบเดิมๆ อยู่ทุกวัน แล้วไม่ยอมพัฒนาปรับตัวไปสู่ทักษะหรือความท้าทายใหม่ๆ ก็อย่าหวังว่าจะยังมีงานรออยู่ในอนาคตนะครับ เพราะขนาดโทรศัพท์มือถือเรายังอัพเดทอยู่แทบจะทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน แล้วนับประสาอะไรกับตัวเราที่จะมัวทำงานด้วย Version เก่าแทนที่จะหมั่นอัพเดท Version ใหม่ของตัวเองอยู่เสมอครับ
สรุปส่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ The Most Human Human ปัญญา มนุษย์ ประดิษฐ์
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือชนิดเดียวที่ถูกสร้างมาไม่เหมือนเครื่องมือชนิดอื่น เครื่องมือชนิดอื่นถูกสร้างขึ้นมาเพราะมีเป้าหมายบางอย่างให้ชัดเจน เช่น รถยนต์สร้างมาเพื่อพาให้เราเดินทางจาก A ไปสู่ B ได้ดีกว่าการเดินเท้า หรือหม้อหุงข้าวแน่นอนว่ามันถูกสร้างมาเพื่องานชนิดเดียวนั่นคือการหุงข้าวให้สุก
แต่คอมพิวเตอร์นั้นถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้วจากนั้นเราค่อยมาคิดว่าเราจะให้มันทำอะไร ดังนั้นคอมพิวเตอร์เลยเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ที่สามารถทำทุกอย่างได้ตามเราประสงค์แต่ขึ้นอยู่กับเราว่าเราสามารถใช้งานมันได้เต็มความสามารถพอหรือเปล่าครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 10 ของปี 2020
สรุปหนังสือ The Most Human Human ปัญญา มนุษย์ ประดิษฐ์
เมื่อความเป็นมนุษย์ถูกท้าทายในยุคแห่ง AI
Brain Christian เขียน
ทีปกร วุฒิพิทยามงคล แปล
สำนักพิมพ์ SALT
20200229
อ่านสรุปหนังสือแนว AI ต่อ > https://www.summaread.net/category/ai/
สนใจสั่งซื้อได้ที่ > https://bit.ly/2QJ9MYI