สรุปรีวิวหนังสือ The Big Nine ยักษ์ 9 ตน อิทธิพลแห่ง AI เมื่อยักษ์ใหญ่สายเทค พร้อมสมุนทั้งจักรวาล คิดจะเข้าครองโลก Amy Webb เขียน

วันนี้จะมาสรุปรีวิวหนังสือ The Big Nine ยักษ์ 9 ตน อิทธิพลแห่ง AI พูดถึงเรื่องเมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่สายเทคในวันนี้มีอิทธิพลต่อโลกทั้งใบมากกว่าที่หลายคนจะจินตนาการออกครับ ซึ่งยักษ์ใหญ่ทั้ง 9 ก็ประกอบด้วย Google, IBM, Alibaba, Amazon, Facebook, Microsoft, Tencent, Apple และ Baidu

บริษัททั้ง 9 ที่ว่ามานี้ล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เริ่มตั้งแต่โทรศัพท์มือถือที่เราใช้ ไม่ว่าเราจะใช้ iPhone ของ Apple หรือใช้ระบบปฏิบัติการ Andriod OS ของ Google ก็ตาม แล้วไหนจะหลายพันล้านคนบนโลกอัพเดทข่าวสารทุกวันผ่านโซเชียลมีเดียในเครือของ Facebook หรือ Meta ทั้งนั้น ถ้าไม่ Facebook ก็ Instagram ไม่ก็คุยกันผ่าน Messenger หรือ WhatsApp แล้วไหนจะระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์อย่าง Windows ของ Microsoft หรือไม่เราก็ต้องใช้โปรแกรมในตระกูล Office ในการทำงานก็ตาม แล้วถ้าใครที่เคยซื้อของออนไลน์ ก็มั่นใจได้เลยว่าไม่ผ่าน ​Amazon ก็ต้องผ่านในเครือของ Alibaba หรือถ้าทำธุรกิจกับคนจีนก็ต้องรู้จักใช้ WeChat ของ Tencent ต้องรู้จัก Baidu ซึ่งเป็น Search Engine ของจีนแน่ๆ

ดังนั้นเราทุกคนบนโลกล้วนเกี่ยวพันกับ 1 ใน 9 บริษัทยักษ์ใหญ่สายเทคที่กล่าวมาไม่มากก็น้อย เพียงแต่เราจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเรากำลังใช้งาน AI ของพวกเขาอยู่ หรือเอาเข้าจริงแล้วเรากำลังถูกชี้นำโดย AI อยู่โดยไม่รู้ตัวเสียส่วนใหญ่

โดยเฉพาะจีน เป็นชาติที่ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่าจะเป็นผู้นำด้าน AI ของโลกให้ได้ภายในปี 2030

ทุกคนบนโลกสามารถถูก AI จีนประเมิน Social Credit Score ให้

Alibaba's social credit rating is a risky game | Financial Times
Photo: https://www.ft.com/content/99165d7a-1646-11e8-9376-4a6390addb44

ไม่ใช่แค่ ประเทศชาติ 4.0 หรือ 5.0 แต่มีเป้าหมายชัดเลยว่าจะเป็นผู้นำด้าน AI ของโลกให้ได้ เพราะในช่วงหลังมานี้โลกเราอาจถูกอเมริกาชี้นำมากเกินไป และก็ตั้งแต่จีนได้เห็นศักยภาพของ AI ผ่านการแข่งขันโกะที่สามารถเอาชนะมนุษย์ที่เป็นแชมป์โลกไปได้อย่างขาดลอย 4 ต่อ 1 เกม จีนเลยประกาศก้องตั้งแต่ปี 2017 ว่า เราจะต้องเป็นผู้นำด้านนี้ เพราะ AI จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของวิธีชีวิตมนุษย์แทบทุกคนบนโลก

ตอนนี้จีนก็เริ่มเอาระบบ Social Credit Score มาใช้ในการให้คะแนนประชาชนจีนในประเทศ (ก่อนจะค่อยขยายออกไปยังทุกคนบนโลกผ่านการเก็บ Data ที่มาจาก Digital Footprint) ว่าใครทำดีก็ควรได้รับสิทธิพิเศษ ได้สิทธิ์รับเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ หรือได้รับการอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ ส่วนใครที่ทำไม่ดีก็จะถูกริดรอนสิทธิในการใช้ชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ห้ามเดินทางออกนอกพื้นที่ตัวเอง หรืออาจจะทำให้การเดินทางออกนอกพื้นที่เป็นเรื่องลำบาก ไปจนถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงเงินกู้ต่างๆ ที่นอกจากจะถูกลำดับไว้ท้ายๆ ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงมหาศาลด้วยครับ

ทีนี้คำถามที่หลายคนคงสงสัยและอยากรู้คือ AI คิดเป็นหรือไม่?

AI คิดอย่างไรขึ้นอยู่กับคนสอน

LWL #25 Discrimination in Data and Artificial Intelligence - Data-Pop  Alliance
Photo: https://datapopalliance.org/lwl-25-discrimination-in-data-and-artificial-intelligence/

ความคิดฟังดูเป็นนามธรรม และนั่นก็มักนำมาสู่คำถามว่าเจ้าเครื่องจักร Machine หรือ AI นั้นสามารถคิดด้วยตัวเองเป็นได้หรือไม่ คำตอบในวันนี้คือ “คิดเองได้” แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราสอนให้มันคิดจากออะไร และอย่างไรครับ

เช่น ถ้าเราจะสอนให้ AI ประเมินให้คะแนนคนที่ทำดี และตัดคะแนนคนที่ทำไม่ดี เราก็ต้องมานั่งนิยามกันก่อนว่า “ดี” กับ “ไม่ดี” คืออะไร ทำแบบไหนคือดี ทำแบบไหนคือไม่ดี แล้วถ้าทำดีจะได้อะไร แล้วถ้าทำไม่ดีจะโดนอะไร

เปรียบได้กับการสอนเด็กคนหนึ่งให้รู้ว่าอะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ ดังนั้น AI จึงเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาที่เริ่มต้นถือกำเนิดขึ้นมาไม่รู้ว่าควรจะคิดหรือปฏิบัติอย่างไร

แล้วก็ได้พ่อแม่มาสอนว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ หรืออะไรคือสิ่งที่ทำไม่ได้ แล้วก็มีการมอบรางวัลให้เมื่อทำดีเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมนั้น และก็ลงโทษเมื่อทำไม่ดี ในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย

ดังนั้นถ้าบอกว่า AI คิดเองเป็นไหม ก็ต้องบอกว่าได้ แต่ต้องกลับไปดูด้วยว่าเราสอนให้ AI คิดอย่างไร

ดังนั้นถ้าจะผิดก็ไม่ใช่ที่ AI ต้องไปดู Data และคนสอนว่าเพราะเหตุใดจึงสอนให้ AI คิดออกมาแบบนี้

และนั่นก็ทำให้ AI พัฒนาไปอีกขั้นจนถึงระดับที่มันสามารถสร้าง AI ขึ้นมาด้วยตัวเองได้

AI คิดออกว่าควรจะต้องสร้าง AI แบบไหนขึ้นมาใหม่

How does AutoML works?. “AutoML is not complete Data science… | by  jeetendra gangele | Medium
Photo: https://medium.com/@gangele397/how-does-automl-works-b0f9e45fbb24

นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งวิวัฒนาการที่น่าสนใจ เมื่อ AI ไม่จำเป็นต้องถูกสร้างโดยมนุษย์อีกต่อไป แต่เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ AI กำลังจะสร้าง AI ขึ้นมาเอง

เมื่อ Google Brain กำลังจะทำสิ่งที่เรียกว่า AutoML มันคือการปล่อยให้ Machine เรียนรู้เองว่าควรจะต้องเรียนรู้อะไรเพิ่ม จากนั้นก็สร้าง AI ใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานั้น เรียกว่าเราคงจะใกล้สู่ยุค AI อนันต์ ที่ถูก AI ชี้นำโดยไม่รู้ตัว

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราลองมาดูการใช้ AI ที่ผิดพลาดของมนุษย์กันว่ามีอะไรบ้าง

ก้มหน้าเชื่อ AI โดยไม่ยอมใช้วิจารณญาณเพิ่มเติม

https://www.youtube.com/watch?v=uN-o2Xn2vM8

กับเหตุการณ์ที่สายการบิน United Airline ที่เป็นข่าวใหญ่เพราะลากผู้โดยสารคนหนึ่งที่เป็นหมอออกจากเครื่องบินเที่ยวบินนั้น เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นมีผู้โดยสารมาเต็มลำเกินไป ทั้งที่ปกติแล้ว AI จะประเมินว่าในแต่ละเที่ยวจะมีคนที่ตกไฟท์เท่าไหร่ ก็จึงขายตั๋วเกินไปหน่อยเพื่อให้จำนวนผู้โดยสารพอดีกับเครื่องบิน

แต่มีผู้โดยสารเข้ามามากเกิน ทางสายการบินก็เลยประกาศว่าใครยอมเดินทางในไฟท์ถัดไปจะได้รับเงินชดเชยและอื่นๆ ตามสมควร ปรากฏว่ากลับไม่มีใครยอมสละไฟท์บินนั้นเลย จึงส่งผลให้พนักงานต้องดูจากระบบว่าผู้โดยสารคนไหนที่เขาควรตัดทิ้งให้ออกจากเที่ยวบินได้ในวันนั้น

ปรากฏว่าหวยดันไปลงที่หมอคนหนึ่ง ที่ดูจากข้อมูลการบินของ United Airline แล้วไม่ใช่ลูกค้าที่มีความสำคัญเท่าไหร่ หรือเอาจริงๆ ก็น่าจะดูสำคัญน้อยที่สุดกับสายการบินนี้ ทางทีมงานจึงพยายามลากตัวเขาออกจากเครื่อง แล้วก็เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากจนเลือดตกยางออก

ข่าวนี้กลายเป็นไวรัลในแง่ลบไปทั่วโลก และสุดท้ายกลายเป็นว่าคุณหมอคนนั้นจำเป็นต้องบินไปในเที่ยวบินนั้น เพราะมีนัดรักษาคนไข้ที่เมืองปลายทาง

ถ้าพนักงานใช้วิจารณญาณสักนิดลองประเมินถามเหตุผลก่อนว่า คุณจำเป็นต้องบินไปในทันทีไหม ก็คงจะหาตัวเลือกอื่น หรืออาจจะชดเชยด้วยเงินที่มากกว่านี้ จนสถานการณ์ไม่ได้บานปลายอย่างเคสนี้ ซึ่งกลายเป็นเคสที่ถูกเล่าขานไม่รู้จบ

AI วันนี้มีความคับแคบทางความคิดและทัศนคติมากเกินไป

Facebook′s Mark Zuckerberg promises greater privacy in messaging apps |  News | DW | 07.03.2019
Photo: https://www.dw.com/en/facebooks-mark-zuckerberg-promises-greater-privacy-in-messaging-apps/a-47803275

เมื่อ AI คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่หลายล้าน ไปจนถึงหลายพันล้านคนใช้งานกัน แต่มันกลับถูกสร้างด้วยความคิดของคนแค่กลุ่มหยิบมือเล็กๆ กลุ่มคนผิวขาวฐานะดีในอเมริกา หรือกลุ่มคนที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่ นั่นทำให้หลายครั้งเกิดความคับแคบทางความคิดของ AI โดยไม่รู้ตัว

ซึ่งทางออกก็ไม่ยาก แค่ต้องเติมคนจากหลายๆ ด้านให้ครบทุกมิติที่น่าจะครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้งานได้มากพอ เพราะผู้ชายคงไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคิดอย่างไร ต้องการอะไรเท่ากับผู้หญิง ส่วนคนที่มีฐานะดีที่สามารถเรียนรู้ที่จะเปิดบริษัทสร้าง AI ของตัวเองได้ ก็คงจะไม่รู้หรอกว่าคนจำนวนมากมายที่เป็นชนชั้นกลาง หรือชนชั้นกลางกึ่งล่างที่เป็นผู้ใช้ AI ส่วนใหญ่ เขาจะต้องการอะไรในชีวิตประจำวันบ้าง

เพราะถ้าเราไม่ทำให้ AI ถูกสร้างขึ้นมาจากความหลากหลายทั้งทางเพศ ทางชาติพันธุ์ ทางสถานะทางสังคม เราก็ไม่สามารถให้ AI บริการทุกคนได้อย่างเท่าเทียมจริงๆ อย่างเช่น AI ที่ใช้ประเมินว่าควรตัดสินคดีอย่างไรกับผู้กระทำผิดกฏหมาย

กลายเป็นว่าจากข้อมูลในอดีตที่คนดำมักถูกจับบ่อยกว่าคนขาว จาก Bias ของเจ้าพนักงานตำรวจในอดีต ส่งผลต่อ AI ในอนาคตที่มักจะประเมินว่าคนดำจะทำผิดซ้ำมากกว่าคนขาว และนั่นก็ส่งผลต่อการตัดสินของคณะลูกขุนหรือผู้พิพากษาอีกด้วยครับ

ก่อนจะใช้ข้อมูลชุดใด ต้องทำให้แน่ใจก่อนว่า Data นั้นไม่มี Bias หรือมีอคติน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

Environment Driven AI กับกรณีศึกษา Tay.ai ของ Microsoft

Microsoft ก็พัฒนา AI โทรหาคนจริงๆได้เหมือน Google – DailyGizmo
Photo: https://www.dailygizmo.tv/2018/05/23/xiaoice-microsoft-ai/
Extreme History] เรื่องราวของ Tay - AI สาวเมกันสุดแสบ เลดี้ซันก้าฝีมือ  Microsoft - Extreme IT
Photo: https://www.extremeit.com/extreme-history-tay/

Tay.ai กลายเป็นข่าวดังอย่างมากเมื่อถูกนำมาปล่อยให้เรียนรู้ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียโลกกว้างในระยะเวลานั้นๆ ก็กลายเป็นพวกหัวรุนแรงเหยียดเชื้อชาติโดยไม่รู้ตัว

เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่เจ้าตัว Tay.ai อาจไม่ผิด แต่ที่ผิดคือข้อมูลที่มันได้รับเพื่อนำมาเรียนรู้ เมื่อคนจำนวนไม่น้อยบนโซเชียลมีเดียแสดงออกกันแบบนั้น มันก็คิดไปเองว่านี่คือมาตรฐานที่ผู้คนทำกัน จนแสดงออกมาในลักษณะดังกล่าว

แต่ก่อนหน้านั้นทาง Microsoft ได้มีการสร้าง AI แบบเดียวกันในอินเทอร์เน็ตปิดของประเทศจีน ที่นั่นผู้คนต้องโพสอย่างค่อนข้างระมัดระวังหรือมีสติ ทำให้เจ้า AI ที่ชื่อว่า Xiaoice กลายเป็นเพื่อนคุยที่แสนดี และได้รับความนิยมในจีนอย่างสูง

เมื่อเห็นว่า Xiaoice ประสบความสำเร็จในจีน ทาง Microsoft ก็เลยอยากที่จะเอาเจ้า AI ตัวเดียวกันนี้มาลองใช้ที่อเมริกา จนลืมคิดไปว่าสภาพแวดล้อมทางอินเทอร์เน็ตของจีนกับของอเมริกานั้นต่างกัน ที่อเมริกาที่มีเสรีภาพค่อนข้างมากที่จะโพสอะไรก็ได้ ส่งผลให้เจ้า Tay.ai นอกจากจะไม่น่ารักแล้วยังดูเป็นอันตรายอย่างยิ่งจนต้องถูกลบไปโดยไวครับ

ดังนั้นจะเห็นว่า AI เป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนสอน หรือดาต้าที่นำมาสอน AI ให้เรียนรู้

ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นว่า AI คือชุดความคิด นั่นก็คือหลักการคิดหรือ Algorithm ว่าเราจะต้องคิดและตัดสินใจในแต่ละเรื่องอย่างไร

ซึ่ง Algorithm นี้เองก็มีมาช้านาน ตัวอย่างหนึ่งก็คือบัญญัติ 10 ประการที่มีมาแต่โบราณกาลแล้วว่าอะไรบ้างที่เราควรทำ และอะไรบ้างที่เราไม่ควรทำ

จะว่าไปกฏหมายทุกวันนี้ก็คือ Algorithm ชนิดหนึ่ง ถ้าเราทำผิด Algorithm ก็จะได้รับผลที่ไม่พิศมัย นั่นก็คือการลงโทษทางกฏหมายนั่นเองครับ

อนาคตของ AI คือการเข้าสู่ยุค AI IoT เมื่อทุกสิ่งรอบตัวสามารถคุยกันเองและแนะนำเราได้อย่างอัตโนมัติ

AI IoT อนาคตของชีวิตยุค Machine 2 Machine

AI Wellness Toilets : toto wellness toilet
Photo: https://www.trendhunter.com/trends/toto-wellness-toilet

ลองคิดถึงของสุขภัณฑ์ชักโครกที่สามารถประเมินของเสียที่เราถ่ายหนักถ่ายเบาไปได้ในทันที แค่ดูจากสารเคมีองค์ประกอบในของเสียก็คาดการณ์ได้ว่าเราน่าจะป่วยเป็นโรคอะไรอยู่ หรือมีแนวโน้มว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรได้บ้างในอนาคต

จากนั้นมันก็จะส่งข้อมูลไปหาร้านยาใกล้บ้านให้นำยามาส่งให้ก่อนที่เราจะรู้ตัว หรือมันอาจจะส่งข้อมูลสุขภาพเราไปบอกหมอประจำตัวเราให้รู้ว่าควรจะต้องดูแลรักษาเราแบบไหน

หรือแม้แต่อาจจะปรับลดสัดส่วนอาหารของเราอัตโนมัติ เป็นการคุมอาหารให้เรากลายๆ ทั้งหมดนี้คือเพื่อให้เรามีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือชีวิตในยุค AI IoT ยุคที่ข้าวของรอบตัวคุยกันได้ และก็ทำสิ่งต่างๆ เพื่อเราได้ แม้ว่าเราอาจจะไม่ชอบใจบ้างก็ตาม

Adversarial Example การมุ่งร้ายหลอก AI ให้เข้าใจผิด

Adversarial examples and feature denoising | by Zhixiong Yue | Medium
Photo: https://medium.com/@yuezhixiong915/adversarial-examples-and-feature-denoising-d60e8ab38e8a

เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะมันคือการจงใจป้อนดาต้าผิดๆ เพื่อไปหลอกให้ AI เข้าใจผิด จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดในที่สุด จากผู้ไม่ประสงค์ดี

เมื่อ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลในการเรียนรู้ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่อยากจะหลอก AI ก็เลยป้อนข้อมูลหลอกและชี้นำไปในทางที่ผิดได้ เช่น หลอกให้เข้าใจผิดว่าป้ายจำกัดความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคือเราต้องวิ่งให้เร็วไม่ต่ำกว่า 160 เป็นต้น

ซึ่งก็จะกลับไปจุดแรกที่บอกว่า AI เหมือนเด็ก จะเรียนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ก็ขึ้นอยู่กับ Data และผู้สอนครับ

AI Driven Human

ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะมันสะกิดชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วในวันนี้เรากำลังถูก AI ของใครบางคน ชี้นำให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการอยู่หรือเปล่า

เช่น Amazon.com ได้มีการลองเอา AI มาช่วยประมูลของจนสามารถทำให้ราคาสุดท้ายกระโดดขึ้นไปสูงมาก หรือที่ใกล้ตัวเราที่มักเห็นจากเว็บของโรงแรมทั้งหลาย ที่ชอบเอากล่องข้อความขึ้นเตือนบอกว่ามีใครบางคนกำลังดูห้องพักโรงแรมเดียวกับเราอยู่ ถ้าไม่อยากพลาดห้องที่นี่ต้องรีบจองก่อนเต็ม

เชื่อว่าคงมีผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยที่หลงกล AI นี้ให้เสียเงิน

หรือพวกเว็บหรือแอปหาคู่ก็ตาม ที่เคยมีข่าวว่าเอา AI มาใช้คุยกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้ต้องเสียเงินสมัครสมาชิกถ้าอยากคุยกับอีกฝ่าย

ดังนั้นต่อไปนี้ก่อนจะเชื่อและทำตามอะไรที่ AI หรือระบบอัตโนมัติบอก เราควรถามตัวเองว่าเรากำลังถูกชี้นำให้ทำในสิ่งที่เขาได้ผลประโยชน์มากขึ้น และเราเป็นผู้เสียผลประโยชน์โดยตรงหรือเปล่าครับ

และผลกระทบสุดท้ายที่ AI มีต่อสังคมคือการหายไปของชนชั้นกลาง และความแตกต่างทางสังคมที่จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

Flat Organization เกิดขึ้นได้เพราะ AI ก้าวเข้ามาแทนที่หัวหน้าระดับกลาง

หลายองค์กรบอกว่าอยากทำให้ตัวเอง Flat ลดลำดับชั้นงานลงให้เหลือแค่คนทำงานจริงกับผู้บริหารที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเรื่องยากมาก เพราะผู้บริหารมีหน้าที่ตัดสินใจเรื่องยากๆ เป็นหลัก ตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับกลยุทธ์องค์กร ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยหัวหน้างานระดับกลางที่คอยบริหารจัดการปัญหาหน้างานรายวันจากพนักงานที่เป็นฝ่าย Operation คนทำงานให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้

แต่อีกหน่อยตำแหน่งหัวหน้างานตรงกลางจะหายไปเพราะสามารถเอา AI เข้ามาช่วยได้ แล้วมนุษย์ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองชนชั้นชัดเจน หนึ่งชนชั้นผู้บริหารที่ต้องใช้ทักษะด้าน Critical Thinking เยอะๆ กับชนชั้นที่สองคือชนชั้นแรงงานยุคใหม่ ที่จะถูกสอนมาให้พร้อมเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ พร้อมที่จะยืดหยุ่นปรับตัวกับทุกสถานการณ์

นี่แหละครับคือชนชั้นกลางจะหายไป เพราะเราจะเหลือแค่ผู้กำหนดนโยบาย คนวางกลยุทธ์ กับคนที่ทำงานเพื่อให้ผลตอบกลยุทธ์นั้น ส่วนตรงกลางจะมี AI เข้ามาแทนที่ในการสอนงานให้พนักงานทำงานได้ดีขึ้น

และนี่ก็คือสรุปหนังสือ The Big Nine ยักษ์ 9 ตน อิทธิพลแห่ง AI ที่ฉายภาพให้เห็นว่าอนาคตของโลกยุค AI จะเป็นอย่างไร และมนุษย์อย่างเราควรจะเตรียมพร้อมอะไรบ้าง

ในวันนี้ไม่มีใครหยุดยั้ง AI ได้แล้ว เพราะเอาเข้าจริงถ้าเราไม่มี AI ทั้งหลายที่แอบแฝงอยู่ตามโปรแกรมในหน้าจอต่างๆ ชีวิตเราก็คงยากลำบากขึ้นมาก เหมือนกับที่เราไม่สามารถอยู่ได้โดยขายโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 4G 5G ครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 7 ของปี 2022

สรุปรีวิวหนังสือ The Big Nine ยักษ์ 9 ตน อิทธิพลแห่ง AI เมื่อยักษ์ใหญ่สายเทค พร้อมสมุนทั้งจักรวาล คิดจะเข้าครองโลก Amy Webb เขียน

สรุปรีวิวหนังสือ The Big Nine ยักษ์ 9 ตน อิทธิพลแห่ง AI
เมื่อยักษ์ใหญ่สายเทค พร้อมสมุนทั้งจักรวาล คิดจะเข้าครองโลก
Amy Webb เขียน
ธนกร นำรับพร เรียบเรียง
สำนักพิมพ์ ซีเอ็ด

อ่านสรุปหนังสือแนว AI ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/category/ai/

สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ > https://click.accesstrade.in.th/go/S5SjlgHi

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/